Freigegeben Surachai sofort und ohne Bedingungen.

The law is silent @ the time of war.Liberate Thailand to Frees.‎Our real enemy is monarchy system.

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

การปรองดองของยิ่งลักษณ์ได้แต่ปกป้องอำนาจอำมาตย์

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์  
สองปีหลังจากที่ทหารฆ่าประชาชนเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์
 และ เดือนหลังชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย
 เราเห็นได้ชัดว่าเพื่อไทย นายกฯยิ่งลักษณ์ และอดีตนายกฯทักษิณ 
ปรองดองกับทหารมือเปื้อนเลือดบนซากศพคนเสื้อแดง 
พร้อมกับหันหลังให้กับนักโทษการเมือง 
ไม่ว่าใครจะแก้ตัวต่างๆ นาๆ ให้รัฐบาล แต่ผมขอยืนยันตรงนี้
ทั้งๆ ที่เสื้อแดงจำนวนมากเลือกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่รัฐบาล
ตอบแทนด้วยความกระตือรือร้นในแสดงความเป็นมิตร
กับอาชญากรอย่าง ประยุทธ์ และอนุพงษ์ 
และแทนที่จะนำฆาตกรมาขึ้นศาล มีการเลื่อนขั้นและเอาใจทหารมือเปื้อนเลือดแทน
 นักการเมืองอย่างอภิสิทธิ์และสุเทพก็ลอยนวลเช่นกัน 
แต่ในกรณีหลังมีการเล่นละครในสภาเพื่อสร้างภาพว่าอยู่คนละข้าง 
ในความเป็นจริงทั้งสองพรรคการเมืองนี้ไม่ได้อยู่ข้างประชาชน แต่อยู่ข้างอำมาตย์
การที่รัฐบาลเพื่อไทย นำโดยรัฐมนตรีที่มีภาพอื้อฉาวอย่างเฉลิม หรืออย่างอนุดิษฐ์ 
เน้นการเร่งใช้กฏหมายเผด็จการ 112 มากขึ้นตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง
 อาจเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทยและทักษิณที่จะพิสูจน์ “ความจงรักภักดี” 
แต่ที่สำคัญกว่านั้น เป็นการพิสูจน์ว่าเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ
พร้อมจะคลานและถ่อมตัวต่อกองทัพ และพร้อมจะให้กองทัพมีอำนาจพิเศษ
นอกรัฐธรรมนูญในการกำหนดสังคมการเมืองไทย 
เพราะกฏหมาย 112 มีความสำคัญที่สุดในการปกป้องทหาร 
เพื่อให้ทหารสามารถอ้างความชอบธรรมจากสถาบันกษัตริย์ในทุกอย่างที่ทหารทำ 
ไม่ว่าจะเป็นการทำรัฐประหาร หรือฆ่าประชาชน
กฏหมายเผด็จการ 112 ถูกใช้ในการทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก 
และทำลายประชาธิปไตยมานาน 
ทุกวันนี้นักโทษ 112 จำนวนมากติดคุกอยู่ในสภาพย่ำแย่ 
คนอย่างคุณสมยศไม่ได้รับการประกันทั้งๆ ที่ยังไม่มีการตัดสินคดี 
และคนอย่างอ.สุรชัยหรืออากง ถูกกดดันด้วยอายุและสุขภาพ ให้ “สารภาพผิด” 
เพื่อหวังได้รับอภัยโทษในอนาคต แต่รัฐบาลตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธที่จะแก้กฏหมายชั่วอันนี้
นักการเมืองเพื่อไทยอาจอ้าง “ภัยจากรัฐประหาร” 
เพื่อให้ความชอบธรรมกับการปรองดองแบบยอมจำนน 
แต่ในทางปฏิบัตินโยบายการปรองดองของรัฐบาลมีผลในการปกป้องอำนาจทหาร
ที่จะทำรัฐประหารอีกในอนาคต ซึ่งคล้ายๆ กับสถานการณ์ในพม่าทุกวันนี้
นอกจากปัญหา 112 และการไม่ยอมนำฆาตกรมาขึ้นศาลแล้ว
 ยังไม่มีมาตรการอะไรที่มีความหมาย
ในการปล่อยนักโทษการเมืองเสื้อแดงนอกจากการตั้งคุกพิเศษ 
อีกสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยไม่ยอมนำทหารและคนอย่างอภิสิทธิ์มาขึ้นศาล
ก็อาจเพราะกลัวว่าอาจจะมีคนที่รักความเป็นธรรม 
เรียกร้องให้นำทักษิณและทหารมาขึ้นศาล
ในฐานะที่ฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ตากใบด้วย
ทักษิณคงอยากจะปรองดองแบบจับมือกับอำมาตย์ 
เพื่อหวังกลับประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ ในขณะเดียวกัน
มีการยกฟ้อง จักรภพ เพ็ญแข ในคดี 112 ซึ่งอาจเป็นการ “เอาใจ” ทักษิณ
เพราะคุณจักรภพเคยใกล้ชิดกับทักษิณ แต่นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่า
คุณจักรภพต้องการปรองดองแบบนี้กับอำมาตย์ เราคงต้องถามเจ้าตัวเอง
การโยนเงินให้ผู้ที่ได้ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง
 ไม่ใช่การปรองดองหรือการเยียวยาที่แท้จริง 
มันเหมือนการโยนเงินให้ครอบครัวคนจนโดยเศรษฐี หลังจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 
ชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะชีวิตวีรชนประชาธิปไตย ตั้งค่าเป็นเงินทองไม่ได้
 และยิ่งกว่านั้นเงินนี้มาจากภาษีประชาชนคนจนเอง
 ไม่ได้เป็นการจ่ายค่าชดเชยโดยทหารฆาตกรจากกระเป๋าตนเองแต่อย่างใด 
การโยนเงินให้ครอบครัวพลเรือนที่ถูกทหารฆ่าในภาคใต้
ก็ไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในภาคใต้แต่อย่างใดอีกด้วย 
เราจะปล่อยให้พวกนั้นซื้อความสงบด้วยเงินของเราเองแบบนี้หรือ?
แกนนำ นปช. อาจพูดจานามธรรมเรื่องการไม่ทอดทิ้งวีรชนและการช่วยนักโทษ
 และอาจมีการเสนอปฏิรูปรัฐธรรมนูญเล็กๆ น้อยๆ แต่ในรูปธรรมบทบาทหลักของ นปช.
 คือการสลายขบวนการและระงับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ 
และไม่มีการรณรงค์ให้แก้หรือยกเลิก 112 โดย นปช. แต่อย่างใด
ในขณะที่เพื่อไทย ทหาร และวัง ปรองดองกันเพื่อรักษาสถานภาพของอำมาตย์ 
และขณะที่คณะกรรมการปรองดองของรัฐสภามีประธานที่เคยทำรัฐประหาร
เพื่อล้มล้างระบบประชาธิปไตย แสงสว่างแห่งความหวังอยู่ที่คณะนิติราษฏร์
ที่ต้องการลบผลพวงรัฐประหาร และอยู่ที่ขบวนการเพื่อปฏิรูป 112 
คนก้าวหน้าทุกคนควรช่วยกันสร้างขบวนการมวลชนเพื่อผลักดันสิ่งเหล่านี้ 
เพราะถ้าเราไม่เคลื่อนไหว 
การปรองดองก็จะเป็นแค่
การปกป้องอำมาตย์บนซากศพวีรชน