Freigegeben Surachai sofort und ohne Bedingungen.

The law is silent @ the time of war.Liberate Thailand to Frees.‎Our real enemy is monarchy system.

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สยามบนทางสองแพร่ง : ๑ ศตวรรษปฏิวัติ ร.ศ.๑๓๐


หากนึกไม่ออกว่าบ้านเมืองเมื่อ 100 ปีที่แล้วตอนที่คณะทหารหนุ่มรศ.130 
คิดทำปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธาณรัฐ หน้าตาเป็นอย่างไร.. 
ให้ดูจากภาพยนตร์สารคดีนี้เป็นภาพของกรุงเทพฯเมื่อขวบ 100 ปีที่แล้ว 
ในภาพจะเห็๋นห้างขายยา"ศรีจันทร์"อยู่ด้วย ส่วนจะเกี่ยวข้องกับ
ร้อยเอกนายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์ 
หัวหน้าคณะปฏิวัติ ร.ศ.130 หรือไม่ ยังไม่แจ้ง
*********************************************************************
ในวาระครบรอบ ๑ ศตวรรษของความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ ( ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) 
เหตุการณ์นี้ไม่เป็นแต่เพียงความเคลื่อนไหวทางการเมืองสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์
การเมืองสมัยใหม่ของสยามเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดฉากวิวาทะระหว่าง
ฝ่ายที่ต้องการรักษากับฝ่ายมุ่งเปลี่ยนแปลงอำนาจการเมืองที่จินตภาพ
ถึงอนาคตของสยามที่วางอยู่บนทางสองแพร่ง 
ระหว่าง "ซิวิไลซ์หรือศรีวิลัย" "ความเสื่อมหรือความเจริญ" 
"อนุรักษนิยมหรือเสรีนิยม" "ราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย" 
หรือแม้กระทั่ง "ลิมิตเต็ด มอนากี้ หรือรีปับบลิ๊ก" 
แม้สยามจะเดินผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมานานถึง ๑๐๐ ปีแล้วก็ตาม แต่การวิวาทะ
ถึงความเปลี่ยนแปลงของไทยยังคงดำเนินต่อไป
บนเส้นทางของความไม่สิ้นสุดของภาวะสมัยใหม่
*******************************************************
โดย ณัฐพล ใจจริง 
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม กุมภาพันธ์ 2555
แทบไม่น่าเชื่อ เมื่อรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกสถาปนาขึ้น จากกระบวนการ
รวมศูนย์อำนาจทางการเมืองกลับเข้าสู่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ได้ปรากฏผลสำเร็จขึ้นในปี ๒๔๓๕ แต่เพียงราว ๒ ปี ภายหลังรัชกาลของ
พระผู้ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระผู้ทรงเป็น
ทุกสิ่งทุกอย่างของสยามได้สิ้นสุดลง (๒๔๕๓) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อันเป็นพระราชมรดกของพระองค์ได้ถูกท้าทายอย่างหนักหน่วง 
จากกระแสความคิดสมัยใหม่ที่ก่อตัวขึ้นในกลุ่มคนชั้นใหม่ภายในสังคมสยาม 
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๓๐ (๒๔๕๕) รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ได้เข้าจับกุมกลุ่มนายทหารและพลเรือนหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง
ที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามจาก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
กล่าวอย่างกระชับแล้ว เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๓๐ ที่เกิดเมื่อ ๑ ศตวรรษ (๒๔๕๕)
 นั้น คือความพยายามปฏิวัติทางการเมืองครั้งแรกในสยาม 
เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นการปรากฏตัวของความพยายามปฏิวัติทางการเมือง
ที่สะท้อนให้เห็นพลังของภาวะสมัยใหม่ที่ผลักดันให้นายทหารรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า
ที่เรียกตนเองในเวลาต่อมาว่า "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
โดยพวกเขามีความสำนึกว่าพวกเขาเป็นทหารของชาติและมองเห็นความเสื่อม
ของการปกครองแบบเดิมจึงต้องการปฏิวัติเพื่อสถาปนาการปกครองอย่างใหม่
และผลักดันให้สยามเคลื่อนสู่ภาวะ "ศรีวิลัย" 
ดังนั้นการกระทำของพวกเขาจึงเปรียบเสมือนกองหน้า
ในการเพรียกหาการปกครองอย่างใหม่
ที่วางอยู่บนอำนาจของประชาชนและหลักการประชาธิปไตย เช่น
 เสรีภาพ ความเสมอภาค และการจำกัดอำนาจรัฐให้เกิดขึ้น 
ในขณะที่เวลานั้นสยามยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตาม
ความพยายามผลักดันให้สยามเคลื่อนตามคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลง
ตามสากลสมัยของพวกเขาประสบความล้มเหลว
ที่ผ่านมามีการศึกษาประวัติศาสตร์ของความพยายามปฏิวัติทางการเมือง
ในช่วงดังกล่าวหลายชิ้น เช่น แถมสุข นุ่มนนท์ (๒๕๒๒) 
มุ่งเน้นการศึกษาเหตุการณ์ที่เรียกว่า "กบฏ ร.ศ. ๑๓๐" 
อัจฉราพร กมุทพิสมัย (๒๕๔๐) ได้ศึกษาการปรับตัวของกองทัพสยามสมัยใหม่ 
ส่วน กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด (๒๐๐๓) ได้ศึกษาการล่มสลายของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
โดยพินิจไปที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จากรัฐศักดินามาสู่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และเคลื่อนไปสู่รัฐประชาชาติในเวลาต่อมานั้นเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่าง
กลุ่มคนชั้นศักดินากับกลุ่มคนชั้นใหม่ที่กำเนิดขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก 
สำหรับ วรางคณา จรัณยานนท์ (๒๕๔๙) ได้ศึกษาการจัดองค์กรและ
ภาพรวมอุดมการณ์ทางการเมืองของพวกเขา ตลอดจนการศึกษา
ของ ณัฐพล ใจจริง (๒๕๕๔) ที่ได้ศึกษาเป้าหมายของการปฏิวัติและ
ความคิดทางการเมืองของพวกเขาในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ
ประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ของไทย
ในวาระครบรอบ ๑ ศตวรรษของความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ 
บทความนี้จะพิจารณาถึงปัญหาของการเคลื่อนสู่ภาวะสมัยใหม่ 
(Modernity) ของสยาม โดยนำหลักฐานพระราชหัตถเลขา 
และเอกสารเกี่ยวข้องที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดทางการเมือง
และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
กับเอกสาร "ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" ที่ถือเป็นแก่น
แกนความคิดทางการเมืองของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" มาพิจารณาในประเด็นการเมือง
ของการเคลื่อนสู่ภาวะสมัยใหม่ของสยามภายใต้รัชสมัยของพระองค์ 
โดยมุ่งพินิจแง่วิวาทะทางภูมิปัญญาที่แตกต่างกันระหว่าง
 "พวกหัวเก่า" กับ "พวกหัวใหม่" 
(The Quarrel Between Ancient and Moderns) ในสยาม
โดยทั้ง ๒ ฝ่ายพยายามตีความภาวะสมัยใหม่ที่แตกต่างกัน 
ฝ่ายหนึ่งมีโลกทรรศน์ที่ชื่นชอบความมีเหตุผล และต้องการที่จะผลักดันสยาม
ให้ก้าวไปสู่ภาวะสมัยใหม่ที่มีความเจริญก้าวหน้า มีเสรีภาพและความเสมอภาค 
โดยความคิดใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสยามนี้ได้เป็นเสมือนหนึ่ง
อาชญากรรมทางความคิดที่ท้าทายขัดแย้งต่อโลกทรรศน์และความต้องการของ
คนชั้นปกครองเดิมที่พยายามยื้อยุด ตีความ ปฏิเสธภาวะและการเมืองสมัยใหม่
ที่จะเกิดขึ้นอันทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจ
การพยายามสร้างสภาวะ "ศรีวิลัย" 
ให้กับสยามของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐"
ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) ผู้นำของคณะนักปฏิวัติ พ.ศ.2455 หรือ 100 ปีที่แล้ว
****************************************************************
ไม่แต่เพียงคลื่นพลังของภาวะสมัยใหม่ที่พุ่งทะยานสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
อย่างสำคัญในยุโรปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๘ ได้ถั่งโถมสาดซัดเข้าสู่คาบสมุทรในภูมิภาคเอเชีย
ด้วยการซัดกลบการปกครองอันเสื่อมทรามของจีนโดยราชวงศ์ชิงด้วยการ
ปฏิวัติสาธารณรัฐในต้นศตวรรษที่ ๒๐ (๒๔๕๔) เท่านั้น 
แต่สยามก็เป็นอีกประเทศหนึ่งเช่นกันที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้
 ภาวะ "ความเสื่อมซาม" ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามที่เกิด ณ เวลานั้น 
ได้กลายชนวนเหตุให้เกิดแสงสว่างทางปัญญาในสยาม 
เมื่อนายทหารชั้นผู้น้อยหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่งได้เริ่มพูดคุยกันถึงการสร้าง
 "สมัยแห่งความเจริญก้าวหน้าของโลกทุกด้าน" หรือสภาวะ "ศรีวิลัย" 
ให้สยามทัดเทียมกับสากลโลก พวกเขาได้เคลื่อนไหวเพื่อทำให้ประกายความฝัน
ของพวกเขากลายเป็นความจริงด้วยการประชุมจัดตั้งคณะนักปฏิวัติ 
ซึ่งเรียกกันในเวลาต่อมาว่า "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
พวกเขาได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายของระบอบการปกครองของสยามในอนาคต
 วิธีการเปลี่ยนแปลง การขยายแนวร่วม และวันเวลาที่จะลงมือปฏิวัติผลักดันสยาม
ให้มีความก้าวหน้า โดย ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์)
 ได้ถูกเลือกให้เป็นผู้นำของคณะนักปฏิวัติที่มีเป้าหมายชูธงความเปลี่ยนแปลงสยาม
ไปพร้อมกับขบวนของนานาชาติที่มีความ "ศรีวิลัย" ทั้งปวง
เราสามารถเข้าใจโลกทรรศน์และประเด็นการถกเถียงของที่ประชุม
เหล่านักปฏิวัติในครั้งนั้นผ่านหลักฐานร่วมสมัยชิ้นสำคัญ คือ บันทึกที่ชื่อ
"ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" เอกสารชิ้นนี้เป็นลายมือ
ของ ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง
ที่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยึดได้จากบ้านของเขา
ในช่วงแห่งการจับกุมเมื่อ ๑ ศตวรรษที่แล้ว 
คาดว่า สาระสำคัญในเอกสารชิ้นนี้ถูกใช้เป็นแนวทางในการอภิปรายถกเถียงกัน
ในที่ประชุมนักปฏิวัติที่กำลังจะตัดสินใจกำหนดชะตาชีวิต
ทางการเมืองสมัยใหม่ของสยามให้บังเกิดขึ้น 
แต่แผนการปฏิวัติของพวกเขามิได้ปรากฏขึ้นในสยาม 
เนื่องจาก พวกเขาถูกจับกุมก่อนการลงมือปฏิวัติไม่กี่วัน
สาระสำคัญของบันทึกดังกล่าวนี้ปรากฏการวิพากษ์วิจารณ์
ระบอบการปกครองของสยาม
ภายใต้โลกทรรศน์สมัยใหม่ที่ต้องการสร้างภาวะ "ศรีวิลัย" ให้กับสยาม
อันวางอยู่บนความคิดเสรีนิยม (Liberalism) 
ที่เชื่อมั่นในหลักการความมีเหตุมีผล (rationality)
ความมีเสรีภาพ (liberty) ความเสมอภาค (equality) 
และการจำกัดอำนาจรัฐ (limited government) 
บันทึกดังกล่าวได้ให้ภาพเส้นทางไปสู่ภาวะ "ศรีวิลัย" ของสยาม 
โดยได้แยกแยะให้เห็นว่า การปกครองของโลกขณะนั้นมี ๓ แบบ คือ 
แบบแรก "แอ็บโซลู๊ด มอนากี้" ซึ่งเป็นรูปแบบที่สยามปกครองขณะนั้น 
กับทางเลือกในการปกครองรูปแบบใหม่ระหว่าง "ลิมิตเต็ด มอนากี้" กับ "รีปับบลิ๊ก" 
โดยแนวความคิดทางการเมืองอย่างใหม่ที่ปรากฏนั้นวางอยู่บน
ความต้องการของพวกเขาที่จะทำให้อำนาจของประชาชนที่อยู่เบื้องล่าง
ลอยขึ้นไปสถิตอยู่เบื้องบนแทนแบบเดิม และการจำกัดอำนาจรัฐ
มิให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตอันกระทบต่อเสรีภาพและความเสมอภาคของมนุษย์
อาจเป็นเรื่องปกติที่การเปลี่ยนแปลงใดๆ 
จะต้องเผชิญหน้ากับทางสองแพร่งของเป้าหมาย
แผนการปฏิวัติของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ก็ตกอยู่บนทางสองแพร่งที่สำคัญระหว่าง การปฏิวัติที่กระทำเพียงครึ่งทางซึ่งเป็นการประนีประนอมเพื่อการสถาปนาระบอบ "ลิมิตเต็ด มอนากี้"
กับอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การปฏิวัติไปให้สุดทางซึ่งถือเป็นการถอนรากถอนโคน การปกครองระบอบ "แอ็บโซลู๊ด มอนากี้" เพื่อการสถาปนาระบอบ "รีปับบลิ๊ก" ขึ้นแทน
ทางสองแพร่งของการปฏิวัตินี้นำไปสู่การถกเถียงกันในที่ประชุมอย่างกว้างขวางซึ่งนำไปสู่การแกว่งไปมาของความคิดระหว่างแนวทางประนีประนอม และแนวทางถอนรากถอนโคนขึ้นเป็นครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอถึงรูปแบบการปกครองชนิดใหม่ให้กับสยามที่ไม่มีพื้นที่ให้กับผู้ปกครองแบบจารีตอีกต่อไป
จากบันทึกความทรงจำที่หลงเหลืออยู่นั้น พวกเขาบันทึกว่า 
มติการประชุมครั้งแรกๆ ที่พวกเขาร่วมกันกำหนดอนาคตของการปกครองสยามนั้น
 สมาชิกกลุ่มที่สนับสนุนแนวถอนรากถอนโคนมีชัยเหนือแนวประนีประนอม 
สมาชิกบางคนของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ได้บันทึกบรรยากาศในการประชุมเมื่อครั้งนั้นว่า
"ที่ประชุมเอนเอียงไปในระบอบแผนการปฏิวัติของประเทศจีน เนื่องจาก [จีน] มีฐานะและสภาพไม่ต่างจากเรา[สยาม]"
สอดคล้องกับ ร.ต. จรูญ ษตะเมษ หนึ่งในสมาชิกได้ย้อนความทรงจำว่า 
แนวทางในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของพวกเขาได้แบบจากจีน 
แต่แนวความคิดในการปกครองได้มาจากตะวันตก
จากการศึกษาหลักฐานคำให้การของพวกเขาภายหลังการถูกจับกุมพบว่า 
สมาชิกที่ "โหวต" ให้การปฏิวัติอย่างถอนรากถอนโคน ประกอบด้วย 
ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ท. จรูญ ณ บางช้าง 
ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ร.ต. เจือ ศิลาอาสน์ ร.ต. เขียน อุทัยกุล ร.ต. วาส วาสนา
 พ.ต. หลวงวิฒเนศประสิทธิ์วิทย์ (อัทย์ หะสิตเวช) ร.ต. เปลี่ยน ไชยมังคละ
 และ นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นต้น 
โดยพวกเขาได้ให้เหตุสนับสนุนการปฏิวัติอย่างถอนรากถอนโคนในการประชุม
ลงมติในครั้งนั้น ดังนี้ ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์(เหล็ง) ผู้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ
ให้เหตุผลว่า สยามเหมาะกับการปกครองแบบ "รีปับบลิ๊ก" มากกว่า "ลิมิตเต็ด มอนากี้"
 เนื่องจาก หากสยามปกครองแบบ "ลิมิตเต็ด มอนากี้" 
กษัตริย์อาจกลับไปอยู่เหนือกฎหมายแบบเดิมได้อีก 
ร.ท. จรูญสนับสนุนว่า ระบอบ "รีปับบลิ๊ก" มีคุณต่อสยามมากกว่า "แอ็บโซลู๊ด มอนากี้"
 ดังนั้นสยามควรมีการปกครองแบบ "รีปับบลิ๊ก" เฉกเช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส หรือจีน
 และทหารควรรักชาติและกตัญญูต่อชาติสูงสุด เขาต้องการให้มี
การเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม ต้องทำอย่างเด็ดขาด
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการหมุนกลับไปสู่ระบอบเดิมอีก 
ส่วน ร.ต. วาสสนับสนุนการปกครองแบบ "รีปับบลิ๊ก" เพราะประชาชนสยามมีอำนาจ
สามารถถอดถอนผู้ปกครองได้ อีกทั้งประชาชนไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ 
และประหยัดงบประมาณในการบริหารประเทศ 
เนื่องจากราชสำนักใช้งบประมาณมาก เป็นต้น 
กล่าวโดยสรุป เหตุผลของกลุ่มที่ต้องการปฏิวัติไปให้สุดทางนั้น เนื่องจาก
พวกเขาต้องการทำให้ประชาชนสยามมีความเสมอภาคอย่างแท้จริง 
และเป็นการเปลี่ยนแปลงสยามไปสู่สังคมที่ "ไม่มีใครเป็นค่าเจ้าบ่าวนาย" อีกต่อไป
 เนื่องจากระบอบใหม่ชนิดนี้ ประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีเป็นผู้ปกครอง 
โดยระบอบใหม่ชนิดนี้จะทำให้สยามมีความก้าวหน้ามากกว่าและ
ไม่ต้องกังวลกับการที่สยามหวนกลับไปปกครองตามระบอบเดิมได้อีกต่อไป
ในขณะที่ เหตุผลกลุ่มสนับสนุนแนวทางประนีประนอมให้เหตุผลว่า 
ประชาชนสยามยังคง "โง่เขลา" ดังนั้นสยามจึงเหมาะกับระบอบ
 "ลิมิตเต็ด มอนากี้" มากกว่า
 เนื่องจากกษัตริย์มีพระเดชพระคุณเหนือประชาชน
จะทำให้สยามมีความเจริญ และพวกเขา
"ไม่ต้องการให้เกิดความชอกช้ำมากเกินไป [จนทำให้] ฝ่ายที่ถูกชิงอำนาจก็จะไม่เคียดแค้นถึงกับทำตัวเป็นศัตรูอยู่ตลอดกาล"
อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาเมื่อคณะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดกลุ่มประนีประนอม
มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้การประชุมครั้งสุดท้ายก่อนการลงมือปฏิวัติ 
ที่ประชุมได้มีมติสนับสนุนไปในทาง "ลิมิตเต็ด มอนากี้" 
มากกว่าทาง "รีปับบลิ๊ก" เพียงเล็กน้อย
ในที่สุดที่ประชุมได้ตกลงยืนมตินั้น และได้มีการเตรียมแผนการลงมือปฏิวัติ
เพื่อสร้างภาวะ "ศรีวิลัย" ให้กับสยาม
ในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในเดือนเมษายน ๒๔๕๕ 
แต่ทว่าการดำเนินการปฏิวัติแบบประนีประนอมตามที่สมาชิกตกลงกันนั้น
ก็หาได้เกิดขึ้นบนสยาม เนื่องจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้จับกุม
เหล่านักปฏิวัติก่อนลงมือ "พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" ไม่กี่วัน 
ต่อมาเมื่อรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ตัดสินลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง
ซึ่งมีอัตราโทษตั้งแต่การประหารชีวิต การจำคุกตลอดชีวิต จนถึงจำคุก ๑๒ ปี 
สมาชิกแกนนำคนหนึ่งที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตได้บันทึกถึงความมั่นคง
ในความคิดของเขาก่อนถูกส่งตัวไปลงทัณฑ์ว่า
"เมื่อเป็นฝ่ายแพ้อำนาจก็ต้องตายหรือรับทัณฑ์ แต่เมื่อวิญญาณของประชาธิปไตยยังไม่ตาย ลัทธิประชาธิปไตยก็คงคลอดภายในแผ่นดินไทยได้สักครั้งเป็นแน่"
 อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงลดหย่อนโทษและอภัยโทษพวกเขาในปลายรัชกาล
วิวาทะของ "พวกหัวเก่า" กับ "พวกหัวใหม่"
 ว่าด้วย "Civilization" : 
ความเสื่อม ฤๅ ความก้าวหน้า
รัชกาลที่6ทรงฉายกับคณะเสือป่า
***************************************************************
แม้ความพยายามปฏิวัติของ "คณะร.ศ. ๑๓๐" ที่จะนำพาสยามไปสู่ภาวะ "ศรีวิลัย" 
จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่มิได้หมายความว่า 
จินตนาการถึงภาวะอุดมคติของพวกเขาจะปราศจากคุณค่าในการศึกษา 
จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องระหว่างฝ่ายที่ต้องการรักษาสภาพเดิม
กับฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทำให้เราสามารถตีความขัดแย้งทางความคิด
ในความพยายามปฏิวัติครั้งนั้นได้ว่า มีความคล้ายคลึง
กับการเผชิญหน้ากันระหว่าง "พวกหัวเก่า" (Ancient)
ที่ต่อต้านภาวะสมัยใหม่กับ "พวกหัวใหม่" (Modern)
 ที่เชื่อมั่นในภาวะสมัยใหม่อันเคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของยุโรป
วิวาทะระหว่าง "พวกหัวเก่า" กับ "พวกหัวใหม่" 
เป็นความขัดแย้งทางภูมิปัญญาระหว่าง "พวกหัวเก่า" ที่เชื่อว่า 
ภูมิปัญญาของมนุษยชาติในอดีตได้ค้นพบ "ความจริง" 
อันประเสริฐในยุคโบราณแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาของใหม่ใดๆ อีก
"ความจริง" อันประเสริฐมีเกี่ยวพันกับความเชื่อทางศาสนาและเชื่อว่า
มนุษย์มีธรรมชาติที่แตกต่างกันหรือความไม่เสมอภาคกันเป็นเรื่องปกติ 
ดังนั้นการกระทำใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 
แต่ "พวกหัวใหม่" กลับเห็นว่า "ความจริง" จะถูกค้นพบได้มากขึ้นในอนาคต
ด้วยความสามารถของมนุษย์ ด้วยความเชื่อมั่นในสติปัญญา 
ความเป็นเรื่องทางโลก (secularity) ความมีเหตุมีผล (rationality) ของมนุษย์
และวิทยาศาสตร์จะนำพามนุษย์ไปสู่ภาวะที่มีความก้าวหน้า (progress) อย่างไม่สิ้นสุด
 ภาวะดังกล่าว มนุษย์ทุกคนย่อมมีความเสมอภาคกัน (equality)
 ด้วยเหตุนี้ "พวกหัวใหม่" จึงมิอาจทนต่อภาวะหยุดนิ่งและความไม่เสมอภาค
ให้ปรากฏอยู่บนโลกได้ส่งผลให้พวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ
เปลี่ยนแปลงโลกให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ดังนั้นหากพิจารณาในความคิดทางการเมืองของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว
 "พวกหัวเก่า" เชื่อในความสามารถของอภิชน และอำนาจในการปกครอง
ย่อมสถิตอยู่ที่เบื้องสูงตามจารีตการปกครองแบบโบราณ 
กล่าวให้ถึงที่สุดคือ พวกเขาชื่นชมในการปกครองโดยกษัตริย์ หรือชนชั้นสูงผู้ทรงภูมิปัญญา
 ในขณะที่ "พวกหัวใหม่" กลับปฏิเสธการปกครองโดยอภิชนตามจารีต 
แต่กลับชื่นชมในการปกครองสมัยใหม่ที่มีที่มาแห่งอำนาจมาจากเบื้องล่าง
หรือจากมวลชนที่มีความเสมอภาคเท่าเทียม พวกเขาเชื่อว่าระบอบการเมือง
ที่มีรากฐานจากอำนาจเบื้องล่างเป็นสิ่งที่พึงสถาปนาขึ้น
และภาวะที่จะเกิดขึ้นอนาคตมีความก้าวหน้ามากกว่าอดีต
หากนำแก่นแกนการวิวาทะข้างต้นมาพิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
การพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ แล้ว จะพบว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงพระราชนิพนธ์งานขึ้นหลายชิ้นหลังเหตุการณ์ความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ 
ที่สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์มีพระราชดำริคล้ายคลึงกับวิวาทะข้างต้นในฝ่าย "พวกหัวเก่า" 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยความคิดทางการเมืองสมัยใหม่
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจของพระองค์หรือกลับหัวกลับหาง
ที่มาแห่งอำนาจ หรือการทำลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และแทนที่ด้วยระบอบ "รีปับบลิ๊ก" 
ตลอดจนการทำลายจารีตการถือครองทรัพย์สินของ "โสเชียลลิสต์" นั้น
 ทรงแสดงพระราชดำริโต้แย้ง "โสเชียลลิสต์" ด้วยการทรงพาหวนกลับ
ไปยังแหล่งอ้างอิงในอดีต ไม่ว่าอาณาจักรสุโขทัย ศาสนา
และตำราโบราณเก่าแก่ ("ancient book") เช่น ทรงไม่เห็นว่า 
"โสเชียลลิสต์" เป็น "ของใหม่" ที่จะนำไปสู่การสร้าง "สยามใหม่"
 ("Modern Siam") แต่อย่างใด หากแต่จะนำไปสู่ความเสื่อมมากกว่า
สำหรับ "ของใหม่" ที่เรียกกันว่า "โสเชียลลิสต์" นั้น ทรงพระบรมราชวินิจฉัยว่า
*****************************************************************
แท้จริงแล้ว "โสเชียลลิสต์" คือความคิดเก่าที่พบได้ในตำราเก่าแก่โบราณของสยามที่ชื่อ "ไตรภูมิพระร่วง" 
ซึ่งเป็นคัมภีร์ของพุทธศาสนาที่ถูกแต่งขึ้นโดยกษัตริย์นักปราชญ์แห่งอาณาจักรสุโขทัยเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา
 ในตำราเก่าแก่โบราณนี้ได้กล่าวถึงภาวะอุดมคติที่เรียกว่าดินแดน "อุตรกุรุ" ที่ผู้คนไม่ต้องทำงาน
 เนื่องจากมีต้นกัลปพฤกษ์ดลบันดาลให้หมดทุกอย่าง
***************************************************************
รวมทั้งทรงยกประเด็นศีลธรรมและระเบียบของสังคมขึ้นมาพิจารณาว่า 
การที่ชายและหญิงที่อยู่ในดินแดนนี้อยู่กินกันเพียง ๗ วันแล้วเลิกร้างกันไป
และพ่อแม่ไม่ต้องเลี้ยงดูบุตร ภาวะดังกล่าวนั้น พระองค์ทรงตั้งคำถามเทียบเคียง
กับภาวะอุดมคติของ "โสเชียลลิสต์" ที่มีนัยว่า ภาวะนั้นเป็นภาวะความเจริญจริงๆ 
หรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พระองค์ทรงตั้งคำถามต่อ "ของใหม่" ที่คล้ายคลึง
กับ "พวกหัวเก่า" ที่เชื่อว่า ตำราอันเก่าแก่โบราณของพุทธศาสนา
ได้กล่าวถึงภาวะความเสื่อมดังกล่าวนานมากแล้ว และไม่มี "ของใหม่" แท้จริงใด
ที่ไม่มีรากฐานจาก "ของเก่า" ดังนั้นจึงไม่มี "ของใหม่" ใดที่น่าตื่นเต้น 
พระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยเรียกชาวสยามที่ต้องการภาวะสมัยใหม่
ตามสากลโลกว่า "พวกบ้าของใหม่" ("New Mania") 
โดยคนเหล่านี้เป็นพวกที่นิยมชมชอบในภาวะความเสื่อมที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในอนาคตข้างหน้าตามคำทำนายในตำราเก่าแก่โบราณ
ความแตกต่างกันของการมองไปข้างหน้าในประเด็นภาวะ "Civilization" ของสยาม
ระหว่าง "พวกหัวเก่า" กับ "พวกหัวใหม่" คือ ความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน
ในคุณลักษณะของภาวะดังกล่าวว่าเป็นเช่นไรกันแน่ระหว่างความความเสื่อม 
หรือความเจริญก้าวหน้า และสยามควรเดินไปสู่ทิศทางใดนั้น 
ภาวะดังกล่าวได้กลายเป็นข้อถกเถียงระหว่างผู้ที่หวาดวิตกในความเปลี่ยนแปลง
กับผู้ที่ชื่นชอบความก้าวหน้าของการเปลี่ยนไปแห่งสยาม
การติดตามความเข้าใจของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ที่มีต่อความหมายของคำว่า
 "Civilization" นั้น เราสามารถเข้าใจความคิดของพวกเขาได้จากบันทึก
 "ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" 
พวกเขาใช้ทับศัพท์ด้วยคำว่า "ศรีวิลัย" โดยในบันทึก
ได้กล่าวถึงภาวะดังกล่าวในความหมายเชิงบวกว่า
"ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใด รู้จักจัดการปกครองดี โดยใช้กฎหมายแลแบบธรรมเนียมที่ยุติธรรมซึ่งไม่กดขี่และเบียดเบียนให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ประเทศนั้นก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองแลศรีวิลัยยิ่งขึ้นทุกที เพราะราษฎรได้รับความอิศรภาพเสมอหน้ากัน ไม่มีใครที่จะมาเป็นเจ้าสำหรับกดคอกันเล่นดังเช่นประเทศซึ่งอยู่ในยุโหรปแลอเมริกา…"
ดังนั้นความหมายของคำว่า "ศรีวิลัย" ของพวกเขา จึงหมายถึงภาวะ
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมสยามอย่างลึกซึ้งที่ทำให้ชาวสยามทุกคน
มีเสรีภาพและความเสมอภาค ไม่มีความสูงต่ำในสังคมอีกต่อไป 
ภาวะใหม่นี้จะเคลื่อนพ้นไปจากภาวะเดิมที่ดำรงอยู่
ไปสู่ความเจริญให้กับสยามเหมือนดั่งสากลโลก
แต่ในทางกลับกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงมีจินตนาการถึงภาวะข้างต้นสวนทางกับจินตนาการของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
พระองค์ทรงใช้ทับศัพท์ด้วยคำว่า "ซิวิไลซ์" มีพระบรมราชวินิจฉัยความหมาย
ของคำว่า "ซิวิไลซ์" ในความหมายเชิงลบ กล่าวคือ 
ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ภาวะดังกล่าวจะนำมนุษย์ไปสู่ความตกต่ำเสื่อมทราม
ทั้งคุณธรรมและจริยธรรม ภาวะเสื่อมทรามดังกล่าวเกิดจาก
"โทษของความเจริญตามแบบแผนยุโรป"
เนื่องจากคนสยามคบหาสมาคมกับชาวยุโรปจึงเลียนแบบ "ความประพฤติชั่วจากชาวยุโรปมามากแล้วหลายประการ ที่แลเห็นถนัด คือ ในทางกินเหล้าจัดอย่าง ๑ การเที่ยวเล่นผู้หญิงอีกอย่าง ๑ จริงอยู่ความชั่ว ๒ ประการนี้ ไม่ใช่เปนที่เกิดขึ้นใหม่ ถึงในเวลาก่อนๆ ก็เคยมีอยู่แล้ว แต่ต้องนับว่าเปนส่วนน้อยและไม่สู้เห็นปรากฏมากเช่นสมัยนี้...แต่มาในชั้นหลังๆ นี้ เมื่อได้คบค้ากับชาวยุโรปมากขึ้นและเมื่อคนไทยที่ไปเรียนที่ประเทศยุโรปกลับมามากขึ้น ชักจูงให้คนไทยประพฤติเมาเหล้าและเปนคนเล่นผู้หญิงมากขึ้น โดยอ้างว่าเปนของเก๋ เปนคน ‘ซิวิไลซ์’ อย่างฝรั่ง เรื่องนี้ทำให้เราวิตกอยู่มาก เพราะถ้าปล่อยให้เปนไปเช่นนี้แล้วก็แลเห็นอยู่ถนัดว่า ชาติไทยกำลังจะเดินไปสู่ทางพินาศฉิบหายแน่แล้ว..."
 ในสายพระเนตรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว "พวกหัวใหม่"
 หรือคน "ซิวิไลซ์" คือผู้ตกต่ำทางคุณธรรมและจริยธรรม
 คนเหล่านี้เป็นพวกคนขี้ขลาด พระองค์ทรงอรรถาธิบายคนชนิดนี้ว่าเป็นพวก 
"ขุดอุโมงค์วางดินระเบิดมากกว่าการประจัญบานด้วยดาบปลายปืนหรือยิงต่อสู้ด้วยปืนใหญ่" 
ทรงเห็นว่า "พวกหัวใหม่" มีพฤติกรรมและความคิดหยุมหยิม 
นอกจากนี้พระองค์มีพระบรมราชวิจารณ์คุณค่าของ "พวกหัวใหม่" ว่า 
มิอาจเปรียบได้กับวีรกรรมของเหล่ากษัตริย์ในอดีต เช่น พระร่วงและพระเจ้าอู่ทอง
ที่ทรงไม่ยอมสยบต่อขอม หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้กู้เอกราช 
หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุโลกมหาราชที่ทรงสถาปนากรุงเทพฯ 
ตลอดจนมีพระบรมราชวิจารณ์การนำเข้าความคิดทางการเมืองจากต่างประเทศ
ของ "พวกหัวใหม่" ชาวสยามว่า คนเหล่านี้เป็นพวก "ลัทธิเอาอย่าง" ความว่า
**************************************************************
"ลัทธิเอาอย่างมีอยู่แพร่หลายในสยามประเทศเรา มีรากเง่าฝังอยู่มาช้านาน...เมื่อข้าพเจ้าได้กล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว ข้าพเจ้าขอสารภาพเสียต่อท่านโดยตรงว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งซึ่งรู้สึกว่าเบื่อหน่ายในลัทธิเอาอย่างนี้มานานแล้ว..."
***************************************************************
สุดท้ายแล้วมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า ผู้ใดที่เอาอย่างฝรั่งนั้น 
ทรงเห็นว่าผู้นั้นเป็นเสมือน "ลูกหมา" ให้ฝรั่งเขาตบหัวเอ็นดู
ดังนั้นโลกทรรศน์และการเสนอข้อโต้แย้งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 มีความคล้ายคลึงกับ "พวกหัวเก่า" ที่มีลักษณะต่อต้านภาวะสมัยใหม่
อันเห็นได้จากการที่พระองค์มีพระบรมราชวิจารณ์ชาวสยามผู้ "ซิวิไลซ์ยิ่ง"
 ("highly civilized") และมีความต้องการความทันสมัย ("up-to-date") 
ผู้ที่แสดงความเย้ยหยันต่อ "ของเก่า" ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คนแก่ จารีตโบราณ
 สถาบันจารีต และความคิดจารีตให้มีตกต่ำด้อยค่าว่า 
คนเหล่านี้เป็น "พวกบ้าของใหม่" ("New Mania") 
ที่มีอาการของ "โรคบ้าของใหม่" ("New Maniacal Plague") 
พระองค์ทรงพระบรมราชวินิจฉัยอีกว่า ในโลกนี้ไม่มี "ของใหม่" ในสารัตถะใด
นอกจากเพียงชื่อเท่านั้นที่ใหม่ แต่ "ของเก่า" มีประโยชน์มากกว่า "ของใหม่" 
นอกจากนี้ในสายพระเนตรของพระองค์ทรงเห็นว่า "พวกบ้าของใหม่" 
มีอาการของโรคเรียกร้องการปฏิรูปสังคม และชอบอ้างว่า พวกเขาเป็นผู้รักมนุษยชาติ
หรือเป็นผู้หยั่งรู้การฟื้นฟูชาติ ทรงพระราชวิจารณ์คนเหล่านี้ว่า
เป็นเพียงพวกนักปลุกระดมมวลชน ("demagogues") เท่านั้น 
ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นประมุขของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่ทรงประทับอยู่บนจุดสูงสุดของปิระมิดทางการเมืองของสยาม
 ผู้ทอดพระเนตรลงมาเห็นความเป็นไปของพสกนิกรในราชอาณาจักรของพระองค์
 ทรงพระบรมราชวินิจฉัยคุณลักษณะพสกนิกรของพระองค์ว่าเป็นโรคริษยา
ที่ "…ฝังอยู่ในสันดานคนไทยหลายชั่วมาแล้ว..." ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงมีพระราชดำริ
ให้ต่อต้าน "ซิวิไลซ์" ความว่า "เรานี้ก็กลัวโรค ‘ซิวิไลซ์’ นี้และยิ่งกว่าโรคอื่น 
ไทยเรายังมิทันจะได้ทลึ่งขึ้นไปเท่าเทียมเขา เราจะมาเริ่มเดินลงเสียแล้วฤา
 อย่างไรๆ ก็จะยอมนิ่งไม่ได้...ต้องพยายามแก้ไขต่อสู้โรคนั้นจนเต็มกำลัง..." 
แม้พระองค์มีแนวพระราชดำริในการสร้าง "ชาติ" แต่ความหมายของคำว่า "ชาติ"
 ของพระองค์จำกัดเฉพาะเพียงผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์เท่านั้น 
ส่งผลให้การสร้าง "ชาติ" ด้วยการใช้เสือป่าของพระองค์กลับถูกวิจารณ์อย่างหนัก
จาก "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" จนทำให้ทรงพระราชวิจารณ์ตอบโต้ว่า
*************************************************************
"อ้ายพวกคิดกำเริบกลับยกเอาไปอ้างเปน พยานอัน ๑ แห่งความที่เรากดขี่ข่มเหงคนไทย...
มีผู้หน้าด้านพอที่จะแสดงมาแล้วก็ยังมีอีกหลายข้อ เช่น ข้อที่ว่าฝึกหัดมากเกินไป
และไปซ้อมรบมีความเหน็จเหนื่อยฉนี้เปนต้น"
****************************************************************
อีกทั้งทรงพระบรมราชวินิจฉัยเพิ่มเติมถึงความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ ว่า "
**********************************************
ชาติไทยเรามีความเน่าเปื่อย มีโรคร้ายเข้ามาแทรกอยู่ คือ โรคฤศยาซึ่งกันและกัน
ในการส่วนตัวและพวกพ้อง แม้อ้ายพวกฟุ้งสร้านซึ่งคิดการกำเริบนั้น 
ก็มีฤศยาส่วนตัวนั้นเปนพื้น และเปนแม่เหล็กเครื่องฬ่อให้คนนิยมในความคิดของมันมาก..."
******************************************************************
ดูประหนึ่งว่า แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะทรงพยายามโปรยหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความจงรักภักดี
ให้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรและในกองทัพ 
แต่ปรากฏว่านายทหารใน "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
กลับประกอบขึ้นจากนายทหาร
ที่สังกัดกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์หลายหน่วย
ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง ๑ ใน ๓ ของนักปฏิวัติในครั้งนั้น 
เช่น ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต. วาส วาสนา ร.ต. บุญ แตงวิเชียร
 สังกัดกรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์
 ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ร.ต. สอน วงษ์โต ร.ต. ปลั่ง บูรณโชติ ร.ต. จรูญ ษตะเมษ
 สังกัดกองปืนกลที่ ๑ รักษาพระองค์ 
ร.ต. อาจ ร.ต. บรรจบ 
สังกัดกรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ 
ร.ต. ลี้ ร.ต. แฉล้ม ร.ต. สอน 
สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ 
ร.ต. นารถ ร.ต. ประยูร ร.ต. ช่วง 
สังกัดกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ เป็นต้น
ดังนั้น คำถามจึงเกิดขึ้น คือ เกิดอะไรขึ้นกับความคิดของนายทหารในขณะนั้น 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การปะทะกันของความคิดทางการเมือง
บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสยาม
ต้นแบบ-หมอซุนยัดเซ็น ผู้นำการปฏิวัติพ.ศ.2454 
ต้นแบบของหมอเหล็งแลเะคณะในปีต่อมา
**************************************************
ไม่แต่เพียงความเข้าใจการตีความหมายที่แตกต่างกันของผู้มีโลกทรรศน์แบบ "พวกหัวเก่า"
 และ "พวกหัวใหม่" ครั้งนั้นผ่าน "ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" 
ของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" กับพระราชนิพนธ์หลายชิ้นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 ที่เปิดฉากการวิวาทะจนทำให้เราสามารถเข้าใจความคิดที่อยู่เบื้องหลังแรงผลักดัน
กับแรงเหนี่ยวรั้งสยามบนคลื่นของความเป็นสมัยใหม่เท่านั้น 
แต่เรายังสามารถเข้าใจความขัดแย้งของความคิดทางการเมือง
ระหว่างความคิดเสรีนิยม (Liberalism) กับอนุรักษนิยม(Conservative)
 ที่ปรากฏบนแผ่นดินสยามเมื่อ ๑ ศตวรรษที่แล้วได้ด้วยเช่นกัน
ความคิดทางการเมืองที่ปรากฏอยู่ใน "ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" 
ของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" นั้นได้วิจารณ์การปกครองแบบ "แอ็บโซลู๊ด มอนากี้" 
ว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของสยาม เนื่องจากกษัตริย์มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย
 "กระษัตริย์จะทำชั่วร้ายอย่างใดก็ทำได้" จะกดขี่แลเบียดเบียนราษฎรให้ได้รับความทุกข์
ได้ทุกประการ เงินภาษีอากรจะถูกนำมาบำรุงความสุขให้ส่วนตัว พระราชวงศ์และบ่าวไพร่ 
เงินบำรุงบ้านเมืองจึง "ไม่เหลือหรอ" ด้วยเหตุที่สยามปกครองในระบอบดังกล่าว 
และมีพวกที่คอย "ล้างผลาญ" ภาษีอากรที่เข้ามา "กัดกันกินเลือดเนื้อของประเทศ" 
จะทำให้สยามทรุดโทรมและถึงแก่กาลวินาศ ความคิดทางการเมืองเช่นนี้
สะท้อนออกมาในคำให้การของสมาชิกคนหนึ่งที่กล่าวว่า
**************************************************
"พระเจ้าแผ่นดินหาง่าย บ้านเมืองหายาก"
*****************************************************
อย่างไรก็ตามในฐานะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงเป็นประมุขของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
ได้ทรงเห็นความพยายามปฏิวัติของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" นั้น
 พระองค์ทรงได้มีพระราชวิจารณ์ความคิดทางการเมืองเหล่านักปฏิวัติว่า
เป็นผู้มี "ความคิดฤศยาหยุมหยิม" ความว่า
************************************************************
"...คนยังมีความคิดฤศยาหยุมหยิมอยู่ฉนี้ฤาจะเป็นผู้ที่จัดการปกครองบ้านเมืองอย่างรีปับลิคได้
 อย่าว่าแต่ริปับลิคเลย ถึงแม้จะปกครองอย่างลักษณเจ้าแผ่นดินมีคอนสติตูชั่นก็ไม่น่าจะทำไปได้…"
************************************************************
ในสายของเหล่านักปฏิวัติการปกครองแบบ "ลิมิตเต็ด มอนากี้" 
หมายถึงการปกครองที่ "กระษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย" 
เมื่อกษัตริย์ไม่มีอำนาจจะทำให้ "พวกเต้นเขนและพวกเทกระโถนตามวังเจ้า
จะไม่มีโอกาสได้เป็นขุนนางเลย" และพวกเขามีวิจารณ์เพิ่มเติมว่า
 ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่แบบใหม่ได้เกิดขึ้นไปทั่วโลกแล้ว
 คงเหลือแต่ประเทศสยามเท่านั้นที่ยังคงระบอบการปกครองที่ทำให้
 "พวกกระษัตริย์ได้รับความสุขสนุกสบายมากเกินไปจนไม่มีเงินจะบำรุงประเทศ"
สำหรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชวิจารณ์ถึงความเป็นไปได้ของสยาม
ที่จะมีระบอบการปกครองแบบ "ลิมิตเต็ด มอนากี้" หรือ "กระษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย" ว่า 
สยามไม่สามารถปกครองแบบที่มี "คอนสติตูชั่น" ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ได้ 
เนื่องจากประชาชนไม่มีความรู้ และหากให้ประชาชนมีอำนาจทางการเมืองแล้ว 
ประชาชนจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด 
ทรงพระราชวินิจฉัยว่า ประชาชนไม่มีความสามารถที่จะถืออำนาจและใช้อำนาจได้ทุกคน
 แต่เมื่อต้องมีการเลือกตั้งผู้แทนฯ จะทำให้เกิดการเกลี้ยกล่อม "ฬ่อใจ" 
ประชาชนด้วยถ้อยคำ การเลี้ยงดู จัดยานพาหนะให้ และติดสินบนประชาชน 
ทรงพระราชวินิจฉัยว่า ภายใต้การปกครองดังกล่าวจะเกิดพวก "ปอลิติเชียน" 
มาทำมาหากินในทางการเมือง อีกทั้งการปกครองดังกล่าวจะนำไปสู่ความแตกแยก 
เช่น การมี "ปาร์ตี ลิสเต็ม" ทำให้การปกครองไม่มั่นคง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลง 
"เคาเวอร์เมนต์" เสมอ ทำให้บ้านเมืองยิ่งชอกช้ำมากขึ้น
ส่วนการปกครองแบบ "รีปับบลิ๊ก" ซึ่งเป็นแบบสุดท้ายที่ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" นำเสนอนั้น
 พวกเขานิยามว่า การปกครองชนิดนี้จะ
*******************************************
"ยกเลิกไม่ให้มีกระษัตริย์ปกครองอีกต่อไป แต่มีที่ประชุมสำหรับจัดการบ้านเมืองอย่างแข็งแรง 
โดยมีประธานาธิบดีเป็นประธานสำหรับการปกครองประเทศ"
***********************************************
พวกเขาเชื่อว่า ประชาชนในระบอบนี้จะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
มากกว่าระบอบอื่น ดังนั้นการปกครองรูปแบบนี้
******************************************************
"ราษฎรทุกประเทศจึงอยากเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นรีปับบลิ๊กทั้งหมด 
เวลานี้ประเทศใหญ่น้อยต่างๆ เป็นรีปับบลิ๊กกันเกือบทั่วโลกแล้ว" 
เช่น ประเทศในยุโรป อเมริกา และจี
*********************************************************
ในกรณีที่ประเทศใดมีการปกครองแบบ "รีปับบลิ๊ก" แล้ว 
ประชาชนจะมีความเสมอภาค
มากกว่าระบอบอื่นตามข้อเสนอของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" นั้น 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงเห็นว่าความเสมอภาคไม่มีอยู่จริง แม้จะมี
*****************************************************
"...การเลิกเจ้าแผ่นดินเลิกเจ้าและเลิกขุนนางเสียให้หมด เปลี่ยนลักษณการปกครอง
เปนประชาธิปไตย (ริปับลิค) อันตามตำราว่าเปนลักษณการปกครองซึ่งให้โอกาสให้พลเมือง
ได้รับความเสมอหน้ากันมากที่สุด เพราะใครๆ ก็มีโอกาสจะได้เปนถึงประธานาธิบดี
 ข้อนี้ดีอยู่ (ตามตำรา) แต่พิจารณาดูความจริงก็จะแลเห็นได้ว่า ไม่มีพลเมืองแห่งใดในโลกนี้
ที่จะเท่ากันหมดจริงๆ เพราะทุกคนไม่ได้มีความรู้ปัญญาเสมอกัน...
เช่น จีนที่ได้เปนขบถต่อเจ้าวงษ์เม่งจูจนสำเร็จตั้งเปนริปับลิคขึ้นได้แล้ว
 ในชั้นต้นก็ได้เลือกซุนยัดเซนเปนประธานาธิบดี แต่ตัวซุนยัดเซนเองเปนคนที่ฉลาดพอที่
จะรู้สึกตนว่าไม่มีความสามารถพอที่จะทำการในน่าที่ผู้ปกครองต่อไปได้
จึ่งต้องมอบอำนาจให้ยวนซีไก๋เปนประธานาธิบดีต่อไป
 นี่เปนพยานอยู่อย่าง ๑ แล้วว่าคนไม่เท่ากัน..."
*****************************************************
นอกจากนี้ พระองค์ทรงพระบรมราชวินิจฉัยเพิ่มเติมอีกว่า 
ไม่มีทางสร้างความเสมอภาคให้บังเกิดขึ้น ณ ที่แห่งใดในโลกได้ 
แม้แต่สถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย (รีปับบลิ๊ก) ขึ้นก็ตาม
 นอกเสียจากจะต้องแก้ไขความอิจฉาภายในตัวมนุษย์เสียก่อนว่า
**************************************************************************
"การที่จะแก้ไขความไม่เสมอหน้ากันและแก้ความไม่พอใจอันบังเกิดขึ้น
แต่ความไม่เสมอหน้ากันนั้น ก็เห็นจะมียาอยู่ขนานเดียวที่จะแก้ได้ 
คือ การจัดลักษณการปกครองเปนอย่างประชาธิปไตย 
แต่ยาขนานนี้ก็ได้มีชาติต่างๆ ลองใช้กันมาหลายรายแล้ว มีจีนเปนที่สุด 
ก็ยังไม่เห็นว่าเปนผลได้จริง ไม่บำบัด ‘โรคอิจฉา’ 
และ ‘โรคมักใหญ่มักมาก’ แห่งพลเมือง จึ่งเปนที่จนใจอยู่…"
*****************************************************
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงได้โต้แย้งข้อกล่าวหา
ของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ที่ได้วิจารณ์การบริหารราชการภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เป็นเหตุให้เกิดคนยากจนมากมายในราชอาณาจักรนั้น พระองค์ทรงพระบรมราชวินิจฉัยว่า
 ไม่มีหลักฐานใดชี้ว่าพสกนิกรของพระองค์อดตาย 
ทรงเห็นว่าพสกนิกรของพระองค์ไม่ยากจนดังข้อกล่าวหานั้น 
พระองค์ได้ทรงยกตัวอย่างว่า ณ เวลานั้น รถไฟของสยามยังบรรทุกคนหัวเมือง
หรือ "ชาวบ้านนอก" เข้ามายังกรุงเทพฯ ตลอดเวลา คนเหล่านั้นเข้าเมืองมา
เพื่อมาเล่นการพนันและหวย ทรงพระบรมราชวินิจฉัยว่า 
หากพสกนิกรของพระองค์ที่หัวเมืองยากจนจริง พวกเขาจะไม่สามารถเดินทาง
เข้ามาเล่นการพนันในเมืองได้ นอกจากนี้ทรงยืนยันว่า "ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเขาไม่จนเลย"
 เนื่องจากพสกนิกรของพระองค์มีที่ดิน มีอาหารบริบูรณ์ 
สำหรับพระองค์แล้ว เงินไม่มีความสำคัญกับพวกเขา
************************************************
ในสายพระเนตรของพระองค์นั้น เงินมีประโยชน์สำหรับพสกนิกรของพระองค์
เพียง ๒ ประการเท่านั้น คือ "(๑) เสียภาษีและ (๒) เล่นการพนัน"
******************************************************
แม้การพยายามสร้างความ "ศรีวิลัย" ให้กับสยามด้วยการปฏิวัติทางการเมือง
ของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" เมื่อครั้งนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ สมาชิกของคณะฯ 
ถูกตัดสินลงโทษและหลายคนเสียชีวิตในคุก แต่การจองจำอิสรภาพของพวกเขา
มิได้ทำให้พวกเขาอับจนความใฝ่ฝันแต่อย่างใด 
ดังที่ ร.ต. วาส วาสนา หนึ่งในสมาชิกได้กล่าวกับเพื่อนๆ 
ในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่า
***************************************************
"เพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย
 กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น"
*******************************************************
กระนั้นก็ดี ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
 แม้พระองค์จะทรงพยายามรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อันเป็นพระราชมรดกให้สืบทอดต่อไปในสยาม แต่ไม่นาน
ภายหลังการสิ้นรัชสมัยของพระองค์ (๒๔๖๘) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 
พระอนุชาของพระองค์ได้เผชิญพระพักตร์กับพลังของภาวะสมัยใหม่
และความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่ผลักดันสยาม
ไปสู่ปฏิวัติทางการเมืองอีกครั้งใน "การปฏิวัติ ๒๔๗๕"
"การปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐" ในบันทึกความทรงจำ
ทหารคณะราษฎรแจกจ่ายเอกสารประกาศคณะราษฎร 
พร้อมเปล่งเสียงไชโยให้กับการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
*************************************************************
การหันกลับมาพิจารณาเอกสารทางประวัติศาสตร์ในวาระครบรอบ ๑ ศตวรรษ
ความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ โดยเฉพาะการรวบรวมบันทึกความทรงจำ
ถึงความพยายามปฏิวัติของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ที่มีความกระจัดกระจายให้ครบถ้วนนั้น
เป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีความเป็นได้ว่างานศพของสมาชิกที่จากไป
ในช่วงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจไม่มีหนังสือที่ระลึกงานศพของพวกเขา 
เนื่องจากคงไม่มีผู้ใดอาจหาญประกาศตัวเขียนคำอาลัยถึงนักโทษการเมือง
ที่มุ่งโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือกล้าเปิดเผยแพร่บันทึก
การเตรียมการปฏิวัติทางการเมืองออกสู่สังคมสยามในขณะนั้น 
แต่กระนั้นก็ดี เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกโค่นล้มลงจาก "การปฏิวัติ ๒๔๗๕" 
และต่อมา "คณะราษฎร" ได้ออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับพวกเขา 
ซึ่งอาจทำให้พวกเขารู้สึกเป็นอิสระและได้เริ่มเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
ลงในหนังสืองานศพของสมาชิก งานเขียนที่พบมักเป็นคำอาลัยเฉพาะบุคคล
ซึ่งให้ข้อมูลเหตุการณ์เป็นห้วงๆ ตามบทบาทของผู้วายชนม์ 
อย่างไรก็ตามแกนนำสำคัญบางคนได้เริ่มลงมือบันทึกความทรงจำถึงเหตุการณ์นั้น
ในเวลาต่อมา ดังที่ผู้เขียนสามารถรวบรวมหลักฐานจำนวนหนึ่ง
จึงนำเสนอเรียงตามลำดับต่อไปนี้ 
บทความ "ชีวิตนักการเมืองและวิบากกรรมของคณะ ร.ศ. ๑๓๐"(๒๔๗๕) 
เป็นงานเขียนที่บันทึกถึง "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" ที่เก่าที่สุดที่พบขณะนี้ 
บทความชิ้นนี้เขียนโดย ร.ต. สอน วงษ์โต เขาเป็นหนึ่งในสมาชิก "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
บทความชิ้นนี้เขาได้เขียนลงเป็นตอนๆ ในหนังสือพิมพ์ "สยามราษฎร์" 
ในเดือนสิงหาคม ๒๔๗๕ หรือหลังจากการปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ไม่นาน 
ต่อมาบทความนี้ถูกตีพิมพ์ซ้ำในหนังสืองานศพของ นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา 
เนติบัณฑิต สมาชิกกลุ่มพลเรือนที่มีความคิดสนับสนุนการปฏิวัติแบบถอนรากถอนโคน 
สาระสำคัญในบทความชิ้นนี้กล่าวเชิดชูวีรกรรมของ "คณะราษฎร" ในการปฏิวัติ ๒๔๗๕ 
การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายามปฏิวัติใน ร.ศ. ๑๓๐ โดยสังเขป 
แต่ ร.ต. สอนเน้นเรื่องราวไปยังความทุกข์ทรมานของชีวิตนักโทษในเรือนจำเป็นพิเศษ 
ในส่วนท้ายบท เขาได้วิจารณ์ความความเสื่อมทรามของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 
การปฏิวัติฝรั่งเศส และความเสื่อมทรามและการแย่งชิงอำนาจ
และความเหลวแหลกในหมู่ชนชั้นปกครองในประวัติศาสตร์สยาม
สำหรับ ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ (๒๔๘๔) ของ ร.อ. เหล็ง ศรีจันทร์, 
ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ และ สมจิตร เทียนศิริ
 เป็นบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ความพยายามปฏิวัติของพวกเขา 
เนื้อหาภายในเรียบเรียงมาจากบันทึกของ ร.ต. เนตร
และความทรงจำของ ร.ต. เหรียญ 
บันทึกเล่มนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องจาก ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง) 
โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ ผลักดันให้พวกเขาเปิดเผยเรื่องราวในอดีตออกสู่สังคม
ภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้ถูกขยาย
และกลายเป็นส่วนหนึ่งใน "หมอเหล็งรำลึก" 
บันทึกความทรงจำชิ้นต่อไป คือ คน ๖๐ ปี (๒๔๙๔) ของ ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ 
งานชิ้นนี้มีลักษณะเป็นงานเขียนอัตชีวประวัติ ร.ต. เนตรได้เริ่มบันทึกเรื่องราวที่สะท้อนถึง
โลกทรรศน์ของเขา โดยเริ่มจากสิ่งที่กว้างที่สุด คือ ความเปลี่ยนแปลงของโลก
ที่เกิดขึ้นจาก "องค์ธรรมชาติ" "องค์เหตุผล" และ "องค์ความดี" 
ในบันทึกชิ้นนี้ เขาได้อธิบายสาเหตุของการตัดสินใจหมุนสยามให้ทันสมัย 
เนื่องจากเขาตระหนักถึงการวิวัฒน์ของโลกและมนุษย์ที่มุ่งสู่ความก้าวหน้า 
ดังนั้นสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
ต่อมาเขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความพยายามผลักดันให้สยามเคลื่อนไป
บนเส้นทางของความเป็นสมัยใหม่ทางการเมือง เริ่มจากฉากชีวิตนักปฏิวัติของสามัญชน
 ชีวิตของผู้พ่ายแพ้ในเรือนจำ การถูกปลดปล่อยในเวลาต่อมา 
อย่างไรก็ตามความใฝ่ฝันถึงอนาคตใหม่ของพวกเขายังคงแรงกล้าทำให้พวกเขาสนับสนุน
ให้การปฏิวัติ ๒๔๗๕ และปิดท้ายด้วยเรื่องราวชีวิตใหม่ของเขาภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ 
บันทึกความทรงจำเล่มสุดท้ายที่จะเขียนถึง คือ หมอเหล็งรำลึก (๒๕๐๓) 
ของ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ บันทึกความทรงจำร่วม
ของ ร.ต. เหรียญและ ร.ต. เนตร เขียนขึ้นเพื่ออุทิศเป็นอนุสรณ์งานศพ
ของ ร.อ. ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) หัวหน้า "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" เมื่อปี ๒๕๐๓ 
สาระภายในบันทึกถึงความเป็นมาของการก่อตัวของความคิดในการพยายาม
ปฏิวัติทางการเมืองของ "คณะ ร.ศ. ๑๓๐" เป้าหมายของการปฏิวัติ การขยายแนวร่วม
 การทรยศหักหลัง น้ำใจของเพื่อนนักปฏิวัติ การถูกจับกุมและไต่สวนจาก
รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การถูกคุมขังลงทัณฑ์ ชีวิตนักโทษการเมืองในคุก
 ชีวิตนักปฏิวัติหลังการพ้นโทษ การสนับสนุนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของพวกเขา 
กล่าวได้ว่า บันทึกความทรงจำเล่มนี้ ถือได้ว่าเป็นงานเขียนที่สำคัญ
และถูกใช้เป็นหลักฐานในการศึกษาเหตุการณ์ในครั้งนั้นมากที่สุด
ในวาระครบรอบ ๑ ศตวรรษของความพยายามปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐ (๒๕๕๕)
 เหตุการณ์นี้ไม่เป็นแต่เพียงความเคลื่อนไหวทางการเมืองสำคัญ
บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ของสยามเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดฉาก
วิวาทะระหว่างฝ่ายที่ต้องการรักษากับฝ่ายมุ่งเปลี่ยนแปลงอำนาจการเมือง
ที่จินตภาพถึงอนาคตของสยามที่วางอยู่บนทางสองแพร่งระหว่าง "ซิวิไลซ์หรือศรีวิลัย"
 "ความเสื่อมหรือความเจริญ" "อนุรักษนิยมหรือเสรีนิยม" "ราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย" 
หรือแม้กระทั่ง "ลิมิตเต็ด มอนากี้ หรือรีปับบลิ๊ก" 
แม้สยามจะเดินผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมานานถึง ๑๐๐ ปีแล้วก็ตาม 
แต่การวิวาทะถึงความเปลี่ยนแปลงของไทยยังคงดำเนินต่อไป
บนเส้นทางของความไม่สิ้นสุดของภาวะสมัยใหม่
ดังนั้น ณ ช่วงเวลานี้จึงอาจมีความเหมาะสมที่จะหวนกลับมาอ่านบันทึกความทรงจำ
ของพวกเขาใน "หมอเหล็งรำลึก" ที่ทรงคุณค่าในทางประวัติศาสตร์ถึงความพยายาม
และเหตุผลในการปฏิวัติครั้งนั้นควบคู่ไปกับเอกสารสำคัญร่วมสมัย
 เช่น "กฎข้อบังคับสำหรับสโมสร" "ว่าด้วยความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ" 
"คำให้การของนักปฏิวัติ" "จดหมายเหตุรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" 
และ "ชีวิตนักการเมืองและวิบากกรรมของคณะ ร.ศ. ๑๓๐" 
เพื่อเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ตลอดจนร่วมกันการประเมินความสำเร็จ
และล้มเหลวของเส้นทางสังคมไทยและการพัฒนาประชาธิปไตยไทยอีกครั้ง
ร.ต.วาศ วาสนา (คนที่ 2 จากขวาแถวนั่งหน้าสุด)กับสหายคณะรศ.130
ขณะถูกฝ่ายรัฐบาลพระมงกุฎเกล้าฯจับกุมสมาชิกหลายคนเสียชีวิตในคุก 
ร.ต.วาศ กล่าวกับสหายในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่า 
"เพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ 
ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย 
กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น" 
หมายเหตุไทยอีนิวส์:อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ พร้อมเชิงอรรถและรูปภาพประกอบจำนวนมาก 
ได้ที่นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2555
*************************************************************************************