Freigegeben Surachai sofort und ohne Bedingungen.

The law is silent @ the time of war.Liberate Thailand to Frees.‎Our real enemy is monarchy system.

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ใคร!!!!อยู่เบื้องหลัง ระเบิดภาคใต้

ยังจำได้ไหม สารวัตจ๊าบต้องสิ้นชีวิตด้วยสาเหตุอะไร ท่านคิดว่า
เหมือนหรือคล้ายกันไหม กับระเบิดคาร์บอมที่ระเบิดที่หาดใหญ่ และยะลา
ในทางไม่ลับระเบิดที่สารวัตจ๊าบนำเอามาใช้ 
เอามาจากค่ายทหารแห่งหนึ่งแถวปราจีนบุรี ในสูตรผสมที่ท้องตลาดไม่มีขาย
 มีใช้แต่ในค่ายทหารเท่านั้น ในทางไม่ลับอีกเหมือนกัน 
ระเบิดในภาคใต้ครั้งนี้ สารเคมีที่ใช้ในการทำระเบิดเหมือนกับ
ที่พบในรถยนต์เชอร์กีของสาวัตรจ๊าบทุกอย่าง

ในทางการข่าวของหน่วยงานปปส. ได้เคยแจ้งเตือนมาแล้ว 
ว่าอาจจะมีการก่อการร้ายเกิดขึ้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ก็เพราะ ยาเสพติด
ที่จะต้องลงไปสู่ภาคใต้ถูกตัดขาดเป็นจำนวนมาก
โดยฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐที่กวาดล้างอย่างจริงจัง 
อันเป็นเหตุให้ผู้ค้ายาเสพติดคิดจะแก้แค้นเอาคืนกับเจ้าหน้าที่รัฐ

และสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาล จนต้องเพลาๆการจับกุมลงไปบ้าง
หรือไม่ก็ต้องหยุดการกวาดล้างให้หมดไปเลย ในความหมายที่ว่า
”ทีเอ็งข้าไม่ว่าที่ข้าเอ็งอย่าโวย” 
ในด้านการเมือง หลังจากนายกฯได้เดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซียแล้ว 
ในทางลับ..เมื่อนายกฯกลับมาประเทศไทย นายกฯมีบัญชาสั่งการมิให้ทหารเป็นผู้เจรจากับหัวหน้ากระบวนก่อการต่างๆที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียอีกแล้ว แต่ได้ใช้ให้หน่วยงานอื่น
ที่เข้าใจปัญหาดีกว่าเข้าไปเจราจาแทน 
ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ การเจรจาได้ข้อสรุปมากมาย รวมทั้งได้ข้อมูลอีกหลายอย่าง ในส่วนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ระเบิดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น 
มาจากทหารเองทำเองสร้างสถาณการณ์เองทั้งนั้น
ในด้านตำรวจ ที่ปราบปรามยาเสพติดเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลหลายแห่งกำลังถูกตั้งกรรมการสอบสวน 
ในการจำหน่ายยาชนิดหนึ่งที่เป็นสารตั้งต้นของการนำไปทำยาเสพติดมากผิดปกติ
 บางแห่งยาสูญหายไปเฉยๆเป็นจำนวนมหาศาล
 การสั่งยาการจ่ายยาไม่มีบัญชีรับจ่ายที่ถูกต้อง
และสุดท้ายก็โยงไปถึงนักการเมือง ว่าอยู่เบื้องหลังการกระทำในครั้งนั้นด้วย
ในด้านของทหารถ้ามีการก่อการร้ายมาก 
ก็ต้องส่งกองกำลังเข้ามาเป็นจำนวนมาก การส่งกำลังเข้ามาจำนวนมาก
นั่นก็หมายถึงต้องมีงบประมาณจากรัฐบาลจ่ายมาให้จำนวนมากตามมาด้วย
การมีผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ ธุรกิจนอกกฎหมายเช่น หวย บ่อน ซ่อง ของหนีภาษี 
ก็ย่อมมีมากตามมาเหตุพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง 
แต่ผลประโยชน์อันที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันมากมายมหาศาลมาก
 มากเสียจนทำให้ใครๆก็อดใจไว้ไม่อยู่
แล้วถ้าย้อนถามกลับไปว่าใครเป็นผู้ได้รับผลปะโยชน์อันนี้ละ
ก็ต้องตอบว่าผู้ที่อิทธิพลมากที่สุดใช่ไหม?ที่ได้รับผลประโยชน์อันนี้
แล้วใครละที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตอนนี้ ที่มีกฎหมายในมือ
 มีกำลังคนมากมาย มีอาวุธมากมาย
คนๆนั้นถ้าไม่ใช่ทหารแล้วจะเป็นใคร
แล้วถ้าการปราบปรามผู้ก่อการร้ายได้ผล ใครละจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์แล้วถ้าเหตุการณ์สงบลงได้จริงๆ จะมีใครคิดบ้างไหม
ที่จะทำให้เหตุการณ์นั้นต้องสงบลงไม่ได้
ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน 
มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ
ถ้าเราตั้งสมมุคิฐานไว้ว่า ระเบิดครั้งนี้เพื่อต้องการ

1 ดิสเครดิสรัฐบาล
2 แก้แค้นให้กับกระบวนการค้ายาเสพติด
3 เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
4สร้างข่าวเพื่อ ปกปิดอะไรบางอย่างที่ขณะนี้การสืบสวน
กำลังเข้มข้นเข้ามาทุกที ถึงกระบวนการค้าสารตั้งต้นยาเสพติด
และกำลังมีนักการเมืองคิดร่างแหเรื่องนี้ไปด้วย
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ท่านๆทั้งหลายช่วยตอบคำถามให้ผมที่ครับ
ใคร!!!!อยู่เบื้องหลัง ระเบิดภาคใต้ในครั้งนี้ 
CR อ่างขาง 

ประชาไทสัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

ไทยอีนิวส์ "สำหรับคนที่สนใจจะรู้ว่าจักรภพ เพ็ญแขจะกลับเมืองไทยเมื่อไร บทสัมภาษณ์นี้มีคำตอบ"
3 เมษายน 2555
ที่มาประชาไท
โดย ทีมข่าวพิเศษ
บ่ายแก่ของวันที่ 30 มี.ค.2555 ทีมข่าวของประชาไทนัดพบกับจักรภพ เพ็ญแข 
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งกลางกรุงพนมเปญ เราถามเขาในฐานะคนไกลบ้าน
ที่ลี้ภัยการเมืองมานานกว่า 3 ปี นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศ
ที่อยู่ในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย 
ซึ่งไม่เป็นเนื้อเดียวกับแกนนำในขบวนการต่อสู้ด้วยกันนัก 
และถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
3 ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
 และกำลังคิด-ทำอะไรอยู่
****************************
จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรกคือ เขามองเห็นว่า
เมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียว
กับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิด ขึ้น 
******************************************************************
แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า 
นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า 
จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง
************************************************************************
เราถามเขาถึงบทบาทของทักษิณในขบวนต่อสู้ ซึ่งจักรภพยังคงแสดงความหวัง
ว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการ เปลี่ยนแปลงสังคม
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบาย หรือลำบาก
*******************************************************************************
และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่า
ละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว
ในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท (30 มี.ค.) 
แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ
********************************************************************
“ประวัติศาสตร์มองเห็นชัดเมื่อมองย้อนหลัง แต่ระหว่างสร้างไม่มีใครรู้ว่า
ใครถูกใครผิด แล้วถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่ามีใครคิดถูกใครคิดผิดก่อน
 เพราะมันไม่ควรจะรู้ก่อน ถ้ารู้ก่อน คนนั้นก็ควรจะเป็นผู้นำตลอดชีพของประเทศ 
แต่ถ้ามันไม่มี เราก็ต้องหาความคิดที่ดีที่สุดของขณะนั้น”
ประชาไท: ตั้งแต่ออกจากเมืองไทยมาทำอะไรบ้าง
***************************************************
ผมออกจากเมืองไทยมาเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 ก็สามปีพอดีนับถึงตอนนี้
ออกมาแล้วก็ไปอยู่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะช่วงสองปีแรกก็ไปอยู่ประมาณ 4-5 ประเทศ 
และก็มีฐานที่มั่นอยู่บางที่ซึ่งเราพอจะนั่งนิ่งๆ ได้วางแผนการดำเนินการ 
หรือส่งเสริมการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับขบวนเรา
*********************************************************
งานก็จะแบ่งเป็นสองสามอย่างคือ งานประสานงานภารกิจเพื่อประชาธิปไตย
 ที่มีทั้งปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติการสื่อเพื่อการเรียนรู้
***********************************************************************
ส่วนแง่ของความคิดช่วงสามปี อาจจะแบ่งเป็นสองช่วง 
ช่วงแรกคือการสานต่อภารกิจที่ชะงักไปในวันที่ 19 พฤษภาคม ปี 53 
นั่นก็คือการแสดงพลังมวลชนเพื่อสื่อสารถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทาง
 โครงสร้างสังคมไทย พูดตรงนี้ต้องมีฟุตโน้ตนิดหนึ่งว่า 
************************************************************
คนที่เรียกว่าแกนนำในขบวนการประชาธิปไตยได้หยุดชะงัก
 ณ วันที่ 19 พฤษภาคม ปี 53 ไม่ได้คิดถึงเป้าหมายปลายทางตรงกันทุกคน 
บางคนก็มองว่าขู่กรรโชกหรือว่าแบล็คเมลเพื่อให้เหตุการณ์นั้นหยุดลง
คล้ายๆ เดือนพฤษภาคม 35 หรือพฤษภาประชาธรรม บางคนก็รวมพลัง
เพื่อจะสื่อสารความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง บางคนก็รวมพลังมวลชน
เพื่อบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง มันมีดีกรีของความแตกต่าง
หลากหลายเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม แต่เมื่อหยุดชะงักมันก็ไม่มีการถกเถียงกันต่อ
ว่าจะทำอะไรเหนือจากนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มาทำนอกประเทศก็คือ
การสานต่อความคิดของคนที่จะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม
*****************************************************************************
ผมก็ยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจในรัฐบาล 
แต่คิดถึงอำนาจในโครงสร้าง แต่ก็รู้เช่นเดียวกันว่า คนที่ทำร่วมกันอยู่นี้
ก็ไม่ได้เห็นตรงกันทุกคน เราเคยเปรียบเทียบการต่อสู้ระยะที่ผ่านมาว่า
เหมือนการขึ้นรถประจำทางซึ่งมัน มีหลายป้าย เราอาจจะอยากไปจนสุดทาง
แต่ก็อาจมีบางคนบนรถที่ขอลงป้ายก่อน หรือหลายคนเปรียบเทียบ
กับบางซื่อ หัวลำโพงในตอนช่วงนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ถือว่าเป็นปัญหา
 ผมถือว่าเป็นวุฒิภาวะของขบวนประชาธิปไตย 
****************************************************
และที่สำคัญประวัติศาสตร์จริงก็มักจะเป็นเช่นนี้
 ก็คือประวัติศาสตร์มองเห็นชัดเมื่อมองย้อนหลัง 
แต่ระหว่างสร้างไม่มีใครรู้ว่าใครถูกใครผิด 
**********************************************
แล้วถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่ามีใครคิดถูกใครคิดผิดก่อน
 เพราะมันไม่ควรจะรู้ก่อน ถ้ารู้ก่อน คนนั้นก็ควรจะเป็นผู้นำตลอดชีพของประเทศ 
แต่ถ้ามันไม่มี เราก็ต้องหาความคิดที่ดีที่สุดของขณะนั้น 
หรือที่ประชาชนสนับสนุนมากที่สุดขณะนั้น ซึ่งก็ผิดได้เหมือนกัน
 นี่คือความคิดที่สะท้อนออกมาเป็นภารกิจระหว่างอยู่นอกประเทศ
*************************************************************************
ที่เล่าให้ฟังว่าแบ่งความคิดเป็น 2 ระยะ
ใน 2 ปีแรก เป็นระยะของการสางภารกิจ 19 พฤษภาคม 2553 
แต่ว่าปีก่อนหน้านี้เป็นเรื่องการมองหาแนวทางที่ 3
 ในการเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ทางสายที่ 3 หมายความว่า
 ถ้าหากฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐมาแต่เดิมตัดสินใจเข้าร่วมปรองดองกับฝ่ายที่เป็น 
ตัวแทนของมวลชนเพื่อผลระยะสั้น เราก็ควรจะมีคนทำงานต่อเนื่อง
ไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการจะไปถึงจริงๆ 
***********************************************
โดยที่คนเหล่านี้ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการปรองดองก็ได้ 
ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการต่างตอบแทนก็ได้ 
ไม่ต้องมีอำนาจรัฐก็ได้ 
***************************
ถามว่าคนเหล่านี้คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือยังไง
 คิดว่าตัวเองต้องถูกต้อง เปล่า
 ก็เหมือนคนที่มีความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป 
คนเกิดมาก็มีคุณค่าชีวิต เราเชื่ออะไรก็วางชีวิตไว้บนนั้น 
แล้วถ้าเรายอมสละชีวิตเพื่อสิ่งนั้น เราก็ตอบโจทย์คนอื่นได้
ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่จะถูกไม่ถูกเป็นเรื่องอนาคต
ที่คนอื่นที่จะตัดสินเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล 
*******************************************************
เลยตอบอย่างนี้ว่ามันเป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมปะปนกันไป 
มันก็เลยเป็นคำตอบว่าทำไมผมตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่กลับเข้าประเทศ
มีความพยายาม มีแรงกดดัน มีการติดสินบน มีการขอร้อง 
มีการขู่เข็ญ พูดตรงๆ มีการหลอกล่อใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ 
หลอกล่อให้กลับเข้าไป เหตุผลไม่ใช่เราสำคัญ
*******************************************************
เป็นเพราะต้องการให้ทุกคนเข้าไปสู่กระบวนการปรองดอง 
เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจต่อรองเต็มที่ในการที่จะจบศึกครั้งนี้
หรือพักรบ ครั้งนี้ โดยที่ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด 
แต่เผอิญว่าประเทศมันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
*****************************************************
แต่คำถามก็คือว่าในกระบวนการที่คุณจักรภพทำอยู่นอกประเทศ
 สามารถรับประกันได้หรือว่าจะส่งผลได้จริง
มากกว่าการกลับเข้าไปอยู่ในประเทศ
****************************************
ไม่ได้หรอกครับ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีอิสรภาพ
ที่จะทำงานได้โดยไม่ต้องไปต่อรองกับระบบ 
กฎหมายหรือระบบกดดันทางสังคม ผมขอย้อนไปนิดหนึ่ง 
จากคำตอบเมื่อกี้ผมขอสรุปท้ายว่า การต่อสู้ 2 เฟสมันเป็นอย่างนี้
 2 ปีแรกมันต่อจากเหตุการณ์พฤษภา 53 
แต่ปีหลังกลายเป็นต่อจาก 24 มิถุนา 2475
**************************************************
อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าต้องเปลี่ยน กระบวนการปรองดองหรือ
****************************************************************
ผมขอพูดจากข้อเท็จจริงดีกว่านะ ผมตอบเท่าที่รู้ก็คือว่า
เหตุที่การปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
จนเกือบจะสัมฤทธิ์ผลตามความ ต้องการของทั้งสองฝ่าย 
ไม่ใช่เป็นเพราะฝ่ายแรกหรือฝ่ายที่สอง แต่เป็นเพราะนิติราษฎร์
การเกิดขึ้นของนิติราษฎร์เป็นการสร้างความรู้สึกคุกคาม
ให้กับฝ่ายอำนาจเก่า อย่างรุนแรง
****************************************
นิติราษฎร์เป็นกลุ่มที่ฝ่ายอำนาจเก่ากลัว
มากกว่า นปช.และคุณทักษิณเยอะ ทุกครั้งที่นิติราษฎร์ออกโรง
มีความเคลื่อนไหว จะมีการยอมจากฝ่ายอำนาจเก่ามาก 
มากในทุกเรื่องในทุกมิติ ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้อยากยกหางนิติราษฎร์ 
ไม่อยากให้นิติราษฎร์กลายเป็นเทวดาใหม่เหมือนกัน 
แต่เพื่ออยากให้รู้ว่ามีผล และคนที่สนับสนุนนิติราษฎร์
ไม่ควรไปเยินยอนิติราษฎร์จนกลายเป็นเทวดาไป 
แต่ช่วยเขาคิดช่วยเขาทำ ตรงไหนเริ่มจะไม่ไหว 
ก็ต้องประคองก็ช่วยกันด้วย เพื่อให้มันเป็นขบวนการประชาชนต่อไป
ทุกขบวนการการเมือง เมื่อมีความนับสนุนมากๆ จากประชาชน
 จะมีคนที่เรียกว่าผู้ดำรงชีพจากการเมือง เข้ามาแทรกกลาง
ถ้าพูดไม่เพราะคือ นายหน้าการเมืองเข้ามาแทรกกลาง 
จนกระทั่งยกผู้นำการเมืองขึ้นไปอยู่บนหิ้ง 
และประชาชนไปอยู่ข้างล่าง
 ตัวเขาจะได้เป็นชนชั้นที่จะเชื่อมโยงทั้งสองราย
*******************************************************
 เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มันเกิดขึ้นกับทุกขบวนการเมื่อเวลาผ่านไป 
เพราะฉะนั้น ไม่อยากเห็นแบบนั้นกับนิติราษฎร์ 
เพราะฉะนั้นการที่นิติราษฎร์มีตัวตนที่ชัดเจน
*************************************************
 แล้วก็มีคนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล) 
ทั้งเห็นด้วยและวิจารณ์นิติราษฎร์จะทำให้ขบวนการมันอยู่ได้อย่างดี
มันเป็นสมดุลใหม่ อยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ 
หรือมีอย่างอาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์) 
หรือมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ยืนอยู่ห่างๆ แล้วตะโกนไกลๆ มาว่า 
เอาเลย แต่ไม่เข้าร่วม อย่างนี้เป็นวิธีการประคอง
เมื่อกี้ไม่ได้พูดจากความคิดนะ พูดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 
ผมก็เป็นนักศึกษาจากของจริงเหมือนกัน ผมก็นั่งดู เอ๊ะ 
ทำไมนักวิชาการ 7 คนซึ่งไม่มีฐานอำนาจทางการเมืองใดๆ เลย
ไม่มีลักษณะเชื่อมโยงทางการเมืองใดๆ เลย 
***************************************************
ไม่มีทุนทางการเมืองที่สนับสนุนอย่างชัดเจนใดๆ เลย
ถึงได้เป็นที่ครั่นคร้ามของผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
แล้วเรียกว่าสามารถชี้นำทุกอย่างโครงสร้างในสังคมปัจจุบันได้ 
ผมก็เลยได้คำตอบกับตัวเองว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากนี้ไป คืออำนาจในการเปลี่ยนแปลงความคิด 
มาสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
************************************************
ไม่จำเป็นต้องเป็นสิทธิทางการเมืองนะ 
สิทธิในการประกอบอาชีพ สิทธิของเด็ก สิทธิของคู่สมรส 
สิทธิของ sexual orientation สิทธิในทุกสิ่งทุกอย่าง 
เพราะมันจะกลับไปตอบโจทย์เดียวกัน 
*******************************************
หรือแม้แต่สิทธิของอภิชาติพงศ์ที่เป็นอภิชาติพงศ์ 
สิทธิของโจอี้บอยที่เป็นโจอี้บอย 
สิทธิของใครต่อใครที่จะเป็นตัวของตัวเองมันกลายเป็น
ปราการใหญ่ที่ทำให้ทุกคน มีจุดร่วมกันโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแนวร่วม
โดยที่ไม่เหมือนกันเลย แบบที่หลายประเทศเป็น อย่างสหรัฐอเมริกาเป็น
อย่างในยุโรปเป็น ไปถามเลยนั่งกันอยู่ 3 คน มีความเห็น 4 อย่าง 
แต่สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะมีลักษณะร่วมก็คือว่า
*****************************************************************
แบบเธอๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน แบบฉันๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน
 แบบคุณๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน 
ตกลงมีลักษณะร่วมกันคือ ไม่อยากให้มายุ่ง
 มันก็จะมาผนึกกำลังกัน นี่คือสิ่งที่นิติราษฎร์กำลังนำความคิดนี้เข้ามา
****************************************************************************
สุดท้ายคนที่หนุนนิติราษฎร์อาจจะไม่ใช่คนที่เชื่อตามนิติราษฎร์ 
แต่จะเป็นคนที่ออกมากป้องให้นิติราษฎร์ได้คิดอย่างนิติราษฎร์ต่อ 
เพื่อวันหนึ่งฉันจะได้คิดแบบฉันบ้าง
**********************************************
 นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากของความคิดแบบเดิมของไทย
ซึ่งเชื่อว่ามันต้องมีความคิดหนึ่ง ก็คือความคิดปรองดอง
มันก็ความคิดเดียวกับที่ชูสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์นั่นแหละ
หลักคิดเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเรื่อง
*************************************************
“ขบวนการเสื้อแดงที่กำลังต่อสู้อยู่นี่ เราต่อสู้เพื่อที่จะปลดปล่อยสังคม
 หรือเราต่อสู้เพื่อที่จะรวบสังคมมาเป็นของเราแทน”
ตอนนี้กลุ่มที่มีพลัง ผลักดันขับเคลื่อน แน่ๆ ก็มีสองฝั่ง
คือ ฝั่งที่เป็น นปช.กับอีกฝั่งคืออำนาจเก่า
 พูดตามตรงทั้งสองก็ปฏิเสธนิติราษฎร์ทั้งคู่ 
นิติราษฎร์อาจเป็นการจุดประกายให้คนจำนวนหนึ่ง 
แต่นิติราษฎร์ก็เผชิญความท้าทายว่าอยู่เหมือนกันว่า
จะสานความคิดต่อไปยัง กลุ่มคนที่ไกลตัวได้ยังไง
*****************************************************
เหตุที่อำนาจเก่า จะเรียกมวลชนใหม่ นปช.หรือเพื่อไทย 
หรือผู้ที่รักนายกฯ ทักษิณก็ตาม มีปัญหากับนิติราษฎร์ทั้งคู่เลย 
เพราะสองกลุ่ม อำนาจเก่ากับมวลชนใหม่มีลักษณะที่เหมือนกัน
ระหว่างเขามากกว่าที่จะเหมือนกับ นิติราษฎร์ เขาแปลกแยกกับนิติราษฎร์ทั้งคู่ 
สุดท้ายมันถึงได้เป็นตัววัดไงว่า ขบวนการเสื้อแดงที่กำลังต่อสู้อยู่นี่ 
เราต่อสู้เพื่อที่จะปลดปล่อยสังคม หรือเราต่อสู้เพื่อที่จะรวบสังคมมาเป็นของเราแทน
 นี่คือหัวใจของเรื่องนะ ผมบอกไม่ได้ว่าทางที่สามจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร 
บอกได้แต่เพียงว่าทางที่สามจะเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ 
***********************************************************
แต่การเข้าสู่อำนาจอาจจะมีการสวนกันโดยคนใหม่ๆ 
ตามเงื่อนไขเวลาในขณะนั้น คนที่สู้เพื่อทางสายที่สามอาจจะสู้แล้วตายไป 
สู้แล้วหมดไฟไป แต่จะมีคนมาแทน ที่ผมพูดว่าอยู่คือทางนะ ไม่ใช่คน
 คนอาจจะไปตามเวลาเพราะมันสู้ไม่ไหว อำนาจที่ต้องสู้มันเยอะ 
แต่ทางมันจะยังอยู่นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่าที่เขาต้องรีบปรองดองกันระหว่าง 
สองทางเพราะลึกๆ แล้วเขาไม่อยากให้ทางที่สามนั้นเกิดขึ้น
 แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่มันจะก่อรูปไปทางนั้นยังไม่เห็นชัด
 และด้วยความที่ไม่ชัดนี่แหละที่ทำให้ทางสายที่สามน่ากลัว
 เพราะมนุษย์กลัวสิ่งที่ตัวไม่รู้
****************************************
ดังนั้นแล้ว การปรองดองก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายได้
************************************************************
ผมมองว่าการปรองดองเป็นสถานีพักกลางทางของการต่อสู้ทางการเมือง
มีประโยชน์ เพราะอย่างต่ำสุดก็ทำให้คนไม่ต้องฆ่ากันอย่างชัดเจน
เพราะไม่มีเหตุที่จะต้อง ฆ่ากันตรงจุดนี้ แต่จะไปฆ่ากันในอนาคตหรือไม่
ไม่รู้ แต่ในขณะนี้ก็หยุดฆ่ากันและจับมือกันอยู่
 ไม่มีใครจะเถียงได้ว่าไม่ดีเพียงแต่สิ่งที่จะเถียงได้ก็คือว่า
มันอาจจะไม่ ได้หยุดจริง เป็นเพียงแค่หยุดพัก ซึ่งก็ไม่เป็นไร
คนที่ทำให้ช่วยหยุดความรุนแรงได้ก็ควรจะได้รับความดีได้รับเครดิต
เพราะฉะนั้นถ้าถามผม ผมก็สนับสนุนกระบวนการปรองดอง 
แต่จะให้ผมไปร่วมไหม ผมไม่เข้าร่วมด้วยไม่คัดค้านแต่ 
ผมขออยู่ข้างทางสายที่สามนี้ดีกว่า
*************************************************************
ถามว่าปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ ผมกลับมองว่า
มันเป็นกิจกรรมเรียนรู้ของสังคมไทย สนุกจะตาย 
สนธิ สนั่น ฉีกร่างกฎหมายปรองดอง อภิสิทธิ์น็อตหลุด 
ผมว่าสนุกจะตายไป เหมือนว่าอยู่ในสถานีพักรบแต่ก็ยังนั่งคนละมุม
*******************************************************************************
แต่คนกลุ่มหนึ่งเขาคงไม่สนุกด้วย เช่นคนที่เสียลูก 
หรือเสียญาติไปในความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา
*****************************************************************
แน่นอน แม่น้องเกด เขาก็พูดถูก ก็ยังหาคนที่รับผิดชอบ
ในการตายของลูกสาวเขาไม่ได้แล้วจะมาปรองดองกันได้ยัง ไง 
ผมก็คิดว่าเป็นคำถามที่ชอบธรรมนะ แล้วคำถามนี้
แม้จะถามเป็นโจทย์ง่ายๆ เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า 
อ้าวแล้วลูกฉันล่ะ เธอจูบปากกันแล้วลูกฉันล่ะ 
เป็นคำถามที่พื้นฐานมากนะ แต่มันมีพลังมาก เพราะมันทำให้คนตอบไม่ได้
 นอกจากจะมีคนไปแอบโอบกอดแล้วบอกว่า ใจเย็นๆ น่า 
วันหลังค่อยคุยกัน มันจะตอบด้วยอะไรล่ะ
**************************************************************
นี่เป็นประเด็นที่คุณ จักรภพเคยพูดกับคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่า
อย่าให้ใครมาหลอกใช้ ขณะที่ตอนนี้กำลังมีกระบวนการปรองดอง 
คนเสื้อแดงควรจะทำความเข้าใจกับกระบวนการปรองดองอย่างไร
**********************************************************************
มันต้องยอมให้ทั้งสังคมเดินไปสู่ถนนสายมึนงงสับสนแบบนี้แหละ 
แล้ววันหนึ่งเราจะได้เกิดคำตอบในใจตัวเราเองขึ้นมา 
ตรงนี้ไงล่ะที่คำว่านักการเมืองมันถึงได้เกิดขึ้นมา
คำว่านักการเมืองมีขึ้นมาเพราะว่าในการสับสนความไม่รู้
และความไม่ได้สื่อสาร กันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
 มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าฉันรู้คำตอบ แล้วฉันขอเสนอเลือกฉันก็แล้วกัน
***************************************************************************************
นี่คือสิ่งที่เรียกว่านักการเมือง เพราะฉะนั้นนักการเมืองถึงมีตั้งแต่
ดีที่สุดเป็นรัฐบุรุษ จนถึงชั่วที่สุดเป็นโสเภณีการเมือง 
ถามว่าจำเป็นไหมต้องมี พี่ว่าในยามนี้ นักการเมืองมีความจำเป็นน้อย 
ในช่วงเวลานี้นะ และเรากำลังรอให้มันมีฮีโรใหม่ในสังคมไทยเยอะแยะ 
นิติราษฎร์เมื่อก่อนใครรู้จักกันบ้างล่ะ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นฮีโร่ของคนเยอะแยะ
และบางคนยังยอมรับ ป้าคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์ในทีวีช่องแดงว่า
อ่านที่นิติราษฎร์เขียนนี่ไม่รู้ เรื่องเลย แต่แกสนับสนุนเพราะว่า
แกรู้สึกว่ามันตรงกับแก ผมถึงได้พูดไงว่า
*****************************************************
ทางสายที่สามมันใหญ่กว่าภาษาพูด ใหญ่กว่านิติราษฎร์ 
กลายเป็นความรู้สึกว่าไม่เอาทางโน้นแต่จะเอาทางนี้ 
เวลาทีพูดถึงรูปการเปลี่ยนแปลงที่นอกกรอบปัจจุบันนั้น คนจะเชียร์
 ทั้งๆ ที่การพูดแบบนิติราษฎร์ถ้าเป็นเมือสิบปีก่อนหน้านี้
จะกลายเป็นการเพ้อฝัน คนไม่เอาด้วย
**************************************************
 ประการต่อมาคือคนเริ่มเชื่อมโยงกับคำนามธรรม
 เช่น สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ โอกาส แต่คำที่เคยทำให้คนเชียร์
 คนเฮสมัยก่อน เช่น คนจน การต่อสู้ ปฏิวัติ โค่นล้ม 
กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่แล้ว
*******************************************************
 เหมือนว่าคนไปตั้งเป้าหมายไกลกว่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้คือ 
ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงเสรีภาพ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงโอกาส 
ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงความเป็นคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 
ทุกอย่างมันเปลี่ยนนะ แต่ปัญหาคือประเทศไทยที่อยู่บนกองปรักหักพัง
จะทำอย่างไรให้ไปถึงตรงนี้
****************************************************************
ผมเองซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งก็กำลังนั่งใช้ความคิด 
กำลังคิดว่าจะต้องเขียนอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเพื่อให้เป็นเป้า 
ไว้ให้โยนลูกดอก ไม่ได้ทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่เป็นที่ปาเป้าเพราะมันต้องมีสิ่งที่จูง
ความคิดไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น 
เหมือนที่เรานั่งกันอยู่แล้วบอกไม่ได้ว่าอยากกินอะไร
รู้แต่ว่าไม่อยากกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เหมือนทำเมนูขึ้นมา
สุดท้ายเราก็อาจจะได้คำตอบซึ่งอาจจะเป็นน้ำเปล่าก็ได้
ก็ต้องให้คนคิด คลำทาง ให้คนอย่างแม่น้องเกด 
คนอย่างภรรยาอากงถามคำถามมากขึ้น
******************************************************************
การเกิดขึ้นมาจากกองซากปรักหักพัง หรือเรากำลังรอการหักพัง
*******************************************************************
เป็นไปได้ มันพังไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่สำหรับผมอะไรที่มันหยุดฟังก์ชั่นแล้ว 
มันก็คือการพัง ไม่ต้องรอให้มันพังลงมากองกับพื้น 
ผมถามง่ายๆ ว่า ตัวอย่างเช่น เอ็นจีโอจำนวนหนึ่งทำไมถึงยังรอ
ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายทักษิณ หรือฝ่ายอำนาจเก่า 
ทำไม-ก็เพราะมันยังไม่ใช่ทางนั้นไง ที่ผ่านมา เอ็นจีโอก็งงนะ
คือทั้งแดงทั้งเหลือง ก็งงทั้งคู่ มันก็ไม่ใช่ทั้งคู่สำหรับทัศนะของสายที่สาม 
เพราะเอ็นจีโอวางตัวเองอยู่ในสายที่สามมาตลอด 
และถ้าหากว่าทางสายที่สามเข้าสู่อำนาจ 
เอ็นจีโอก็จะออกมาแล้ววิจารณ์ทางนั้น 
นี่คือหน้าที่ของเอ็นจีโอซึ่งควรจะเป็น คือเป็นใครก็ได้ที่ไม่มีอำนาจ
แต่สามารถจะเป็นแนวร่วมกับใครก็ได้ที่จะมี อำนาจ 
แล้วเมื่อเขามีอำนาจก็วิจารณ์เขาต่อไป 
ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะมันเป็นหน้าที่ของเอ็นจีโอ
*****************************************************************
รายละเอียด อ่านต่อ