Freigegeben Surachai sofort und ohne Bedingungen.

The law is silent @ the time of war.Liberate Thailand to Frees.‎Our real enemy is monarchy system.

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"นั่นมันพ่อมึง ไม่ใช่พ่อกู"

ไอ้เมธกะพ่อมัน ก็เหมือนนกเอี้ยงกับควาย
ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันว่ะ เกาะหลังควาย
เพื่อกินเห็บ อิ่มพุงกางเชียวนะไอ้เมธ !!



หมู่นี้ได้ยินคนก่นบ่อย ว่า ป่าป๊า ขี้เกียจ เอาแต่ลัลล้าจัดเบิร์ดเดย์ ปาร์ตี้
จึงขอนำ บทความของคุณ วโรทาห์ มาให้อ่านกัน

พ่อกูทำงานหนักจริงๆนะเว้ย..(ไม่เกี่ยวกับการเมือง) 

จาก : http://warotah.blogspot.com/2009/07/blog-post_24.html

ถ้าพูดถึงลูกยอดกตัญญู ในยุคนี้คงไม่มีใครสะเออะ 
ไปเทียบชั้นกับปรเมษฐ์ได้ เพราะไม่ว่าเจอใครที่ไหนเมื่อไหร่ 
เป็นต้องสรรเสริญเยินยอพ่อมัน ให้ชาวบ้านเขาฟังกัน จนเอียนแล้วเอียนอีก 
พูดซ้ำพูดซากเป็นแผ่นเสียงตกร่อง โดยไม่ต้องมีเหตุผลรองรับ 
จนเพื่อนฝูงทุกคน ต่างยินยอมพร้อมใจ ยกให้เป็น "เมษฐ์หุ่นยนต์"

สารพัดโครงการที่พ่อมันเคยทำในอดีต ถึงแม้จะล่วงเลยไปแล้วหลายสิบปี 
ยังถูกนำมารีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า 
จนคนที่เพิ่งได้ยินใหม่ๆ นึกว่าเรื่องเพิ่งเกิดมาหมาดๆ แล้วก็เป็นสูตรสำเร็จ
ที่รับรู้กันโดยไปทั่วว่า หลังจากเล่าจ๋อยๆจนลิงหลับแล้ว 
เป็นต้องตบตูดด้วยคำว่า "เห็นไม๊..พ่อกูทำงานหนักจริงๆนะเว้ย" 

ฟังแล้วเหมือนกับว่า มันรักพ่อ เพราะพ่อมันทำงานหนัก 
แต่คนที่ได้ฟังเขาก็มีสิทธิคิดต่อ ว่าถ้าพ่อมันไม่ทำงานหนัก แล้วมันยังจะรักไม๊?

หลังจากที่ทนดูหนังเรื่องเดิม ฉายซ้ำเป็นร้อยรอบพันรอบไม่ไหว 
เพื่อนฝูงก็เร้นหายไปทีละคนสองคนจนหมดเกลี้ยง 
เหลือแต่ณัฐวุฒิตัวเดียวอันเดียวที่ดูจะอึดเป็นพิเศษ 
แต่แม้กระนั้น ความอดทนก็พุ่งขึ้นทะลักจุดเดือด เขาได้ตั้งปณิธานไว้แล้วว่า
ถ้าเจอกันอีกครั้ง มันยังงัดเรื่องเก่ามาพูดไม่เลิก เห็นทีคราวนี้คงต้องมีสวน

แล้วมันกลัวซะเมื่อไหร่ พอเจอกันครั้งใหม่เมษฐ์ก็ใส่เป็นฉากๆ 
พูดซ้ำพูดซากตัดแปะมาจากของเดิมเด๊ะๆ แต่ณัฐวุฒิก็อดทนฟังอย่างใจเย็น 
รอจนมันตบท้ายด้วยคำว่า "เห็นไม๊ พ่อกูทำงานหนักจริงๆนะเว้ย" 
แล้วจึงเริ่มกระบวนการเอาคื

"เฮ้ยเมษฐ์ ..มึงฟังกูนะ" แค่อารัมภบท ปรเมษฐ์ก็ออกอาการลิงโลดขึ้นมาทันที 
เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่เพื่อนซี้มีปฏิกิริยาตอบสนอง
ต่อสิ่งที่มันพูด

"ที่มึงพูดมาทั้ง หมด กูจำได้ทุกคำไม่มีตกหล่น เรียกว่าพูดแทนมึงก็ยังได้ 
เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องเถียง ที่เคยบอกว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน 
ตอนที่เรายังไม่เกิดด้วยซ้ำ พ่อมึงก็ได้ยกเลิกระบบครอบครัว 
เปลี่ยนมาใช้ระบบบริษัท ให้ลูกๆเลือกตั้งกันเอง มาเป็นผู้จัดการแทนพ่อ 
แล้วยกพ่อขึ้นหิ้ง เอาไว้กราบไหว้บูชาอย่างเดียว..."

"เออๆ ใช่ๆ พ่อกูมองการณ์ไกลไม๊ล่ะ!" ปรเมษฐ์ได้ทีเลยสรรเสริญพ่อไปอีกดอก
เรียกว่า อะไรที่พอจะถือเป็นความดีความชอบได้ เป็นต้องยกให้พ่อมัน 
แต่ถ้าเรื่องไม่ดีมันจะเก็บงำเอาไว้ ไม่ยอมให้พ่อมันเสียรังวัดเป็นอันเด็ดขาด

"เออ..แล้วทำไมพ่อมึงยังลง ไปทำงานอีก?" 
คำถามนี้เล่นเอาเจ้าลูกกตัญญูถึงกับอึ้งกิมกี่ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
เพราะไม่ได้โปรแกรมมา แต่ณัฐวุฒิก็ไม่หยุดรอคำตอบให้เสียเวลา 
จัดการโซ้ยต่อทันที

"ตามหลักการบริหาร เราก็เรียนกันมาว่า อำนาจกับความรับผิดชอบ
มันต้องไปด้วยกัน ในเมื่อมอบหมายให้ใครไปทำงานแล้ว ก็ต้องมอบอำนาจ
ให้เขาเต็มที่ แต่นี่พ่อมึงยังออกโปรโมชั่นไม่เลิก กูก็นึกไม่ออกว่า 
แล้วผู้จัดการเขาจะทำงานยังไง เวลาโครงการมันซ้ำซ้อนกัน 
คิดดูซิว่า พนักงานจะเชื่อฟังใคร..ก็ต้องให้พ่อมึงก่อน" 

"ผู้จัดการเขาจะกระดิกกระเดี้ยยังไง 
ในเมื่อเรื่องสำคัญๆต้องให้พ่อมึงเซ็นต์ตลอด แถมพ่อมึงยังตั้งทีมที่ปรึกษา
ด้วยค่าใช้จ่ายของบริษัท คอยกลั่นกรองเรื่องราวที่จะชงขึ้นไปเซ็นต์ 
พวกนี้เลยใหญ่คับบ้านคับเมือง แม้แต่ผู้จัดการก็ไม่อยู่ในสายตาพวกมัน" 

"ให้เขาเป็นแม่ทัพแต่ไม่ให้ดาบอาญาสิทธิ์ จะออกรบทีต้องมาขอยืมดาบที 
แล้วมันจะรบยังไง ประวัติศาสตร์มึงก็เรียนมา ว่าก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง 
พระยาตากต้องขออนุมัติก่อนยิงปืนใหญ่ทุกดอก แล้วอย่างนี้ 
ถ้าไม่สิ้นชาติก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว" 

"ทีผู้จัดการเฮงซวยบอกว่าดี แต่ผู้จัดการดีบอกว่าโกง กูก็ไม่รู้ว่าโกงจริงไม่จริง 
แต่ที่กูไม่เข้าใจ คือทำไมต้องจ้างนักเลงมาไล่กระทืบเขา 
ถ้าโกงจริงทำไมไม่ให้ระบบจัดการ ถ้าระบบไม่ดีทำไมไม่แก้ที่ระบบ 
มาตั้งศาลเตี้ยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนี้ แล้วมันจะแก้ปัญหายังไง 
กูยังนึกไม่ออก"

"อะไรไม่ว่า ทำอย่างนี้เท่ากับไม่เกรงใจพ่อมึง คิดกันหรือเปล่า 
ว่าคนเป็นพ่อจะวางตัวยังไง พูดอะไรไป ฝ่ายที่ได้ประโยชน์ก็ตบมือชอบใจ 
แต่ฝ่ายที่เสียประโยชน์มันก็โห่เอา ครั้นไม่พูดอะไรเลยคนเขาก็มีเหล่ 
ว่าลูกๆจะฆ่ากันตายยังมาทำเฉย สรุปแล้วไม่ว่าจะออกลูกไหน 
พ่อมึงก็เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง"

"เอ่อ.." ปรเมษฐ์ครางเสียงต่ำในลำคอ เหมือนโปรแกรมกำลังทำงานอย่างหนัก 
แต่จนแล้วจนรอด ยังไม่สามารถเซิร์ชคำโต้แย้งออกมาได้
แต่ทั้งหมดหาได้รอดจากสายตาของณัฐวุฒิไปไม่ 
เมื่อเห็นว่าเพื่อนซี้มีอาการน่าเป็นห่วง จึงรีบสรุปตบท้าย

"กูว่านะ ถ้าพวกมึงรักพ่อจริง ต้องยกกลับขึ้นหิ้งไปซะ 
บอกพ่อมึงโละที่ปรึกษาหลงจ้งเก๋าเจ้งให้หมด แล้วล้างมือในอ่างทองคำ 
ไม่ต้องไปซงไปเซ็นต์อะไรแล้ว ปล่อยมือให้ลูกๆจัดการกันเอง 
ตบตีกันหน่อยเดี๋ยวมันก็ไปได้ ต้องมองโลกในแง่ดี ไม่มีใครเขาโง่ไปกว่าใครหรอก"

"อือ.." ปรเมษฐ์ครางอีกครั้ง แต่สุ้มเสียงเปลี่ยนไปเหมือนว่าจะได้คิด 
ณัฐวุฒิจึงถือโอกาสยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เพื่อชดเชยน้ำลายที่เสียไปเป็นกระบุงโกย 
แต่แล้วก็ต้องสำลักน้ำพรวด เมื่อได้ยินคำพูดที่เพื่อนรักพ่นออกมา

"แต่..พ่อกูทำงานหนักจริงๆนะเว้ย"

หุ่นยนต์ก็ยังเป็นหุ่นยนต์อยู่วันยันค่ำ 
แสดงว่าฉายานี้ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ แค่คำพูดคำเดียวก็ทำให้
การสนทนา ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ต้องถอยกลับไปที่จุดเริ่มต้น 
ณัฐวุฒิไม่รู้ว่าจะโกรธหรือสมเพชเจ้าเพื่อนคนนี้ดี 
แต่ในที่สุด เขาก็โพล่งออกมาอย่างเหลืออ

"ตกลง กูยอมแพ้ เอ้า..หนักก็หนัก..แต่กูไม่เข้าใจจริงๆว่า 
ที่มึงมาพล่ามจนชาวบ้านเขาเอียนไม่เสร็จอย่างนี้ พ่อมึงรู้เรื่องหรือเปล่า 
แล้วไหนๆก็พูดแล้ว จะบอกให้เอาบุญว่า ถ้ามึงยิ่งพูดพ่อมึงจะยิ่งเสีย 
ขนาดกูเป็นเพื่อนซี้มึงยังเหลืออดแล้ว ต่อไปไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้อีก 
บอกตามตรงว่า กูฟังแล้วจะอ้วก แล้วที่สำคัญ..."

"นั่นมันพ่อมึง ไม่ใช่พ่อกู"

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=150905771678052&set=a.106232429478720.6883.100002758910020&type=1&theater
ตอนนี้พ่อไม่มีแรงแล้วนะ ทำงานไรไม่ไหวละ 
ได้แต่เซนต์อย่างเดียว แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาทำแทนสักที 
ยังงี้เหรอทำงานหนัก

นิทานอีสัด วันนี้เสนอตอน Resident Evil (ผีชีวะ)

ณ เมืองที่ผู้คนรักใคร่กลมเกลียวสามัคคี มีวัฒนธรรมอันสูงส่ง 
คิดว่ามีรอยยิ้มเอาไว้ก็พอเพียงที่จะเอาไปหลอกขายฝรั่งหน้าโง่ทั้งหลาย 
แต่ทว่าฝรั่งมันเข้ามาซื้อกัญชากับบริการทางเพศที่มีอยู่ดาษดื่น
ทุกซอกทุกมุมต่างหากล่ะ การณ์ก็เลยกลายเป็นว่า จากที่คิดจะหลอกเอาเงินฝรั่ง 
เลยกลายเป็นหลอกตัวเองไปวันๆเสียฉิบ

แต่ทว่านั่นไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เดียวที่ผู้คนในเมืองนี้เฝ้าสะกดจิตหลอกตัวเอง
และผู้ด้อยโอกาสในสังคมเท่านั้น แต่ทว่ายังเฝ้าหลอกคนอื่นด้วยวาทกรรม
ที่มีชื่อเรียกว่า บุญ กรรม ความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว ชาติ ความเสียสละ
หน้าที่ ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนปั้นแต่งขึ้นมาก็เพื่อหลอกกดหัวให้ผู้คนชั้นล่าง
หลงติดงมงายอยู่ตรงนั้น เพราะเมื่อใดที่ผู้คนชั้นล่างเหล่านั้นเรียกร้อง
ความเท่าเทียม สวัสดิการทั้งหลาย ก็จงหวนกลับไประลึกถึงคำว่า บุญ กรรม 
ความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว ชาติ ความเสียสละ หน้าที่ เสียให้มากๆ 
อย่ามาปลุกปั่นเพื่อสร้างความแตกแยกให้สังคมอันสงบสุขนี้เลย

แต่วันเวลาผ่านไป มีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งได้คิดค้นไวรัสประชานิยมขึ้นมา
เพื่อรักษาอาการหน้ามืดตามัวและแก้อาการไม่มีจะแดกของผู้คนชั้นล่าง
ในสังคม แต่ทว่าคนชั้นสูงเหล่านั้นไม่พอใจมหาเศรษฐีผู้นั้นมาก 
ประธานบริษัทปลาวาฬกระป๋อง จึงคิดค้นวัคซีนเขียวที่มีชื่อว่ารัฐประหาร
ออกมาต่อต้านไวรัสประชานิยม 

แต่ทว่าสิ่งที่ร้ายแรงเกินคาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น วัคซีนร้ายที่ชื่อว่ารัฐประหาร
ได้กลายพันธุ์แพร่ขยายติดต่อผู้คนไปทั่วสังคม ซึ่งเชื้อร้ายนั้นได้แบ่งขยาย
ออกเป็นสองสายพันธุ์หลักๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกผู้เคยนำเข้า
เชื้อตาสว่างมาสู่ผู้คนในสังคมในอดีต(โจนาธาน ลิฟวิงตัน:นางนวล) 
ได้ออกมาเผยแพร่รายงานแล้วว่ามันได้แก่ 
กลุ่มของเชื้อสายพันธุ์ THAKSINOPHOBIA 
และกลุ่มของเชื้อสายพันธุ์ Thaksinosophia 

ณ ตอนปัจจุบันนี้ เชื้อร้ายได้แผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของสังคม 
ผ่านปรากฎการณ์น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง 
ที่ผู้คนชนชั้นสูงผู้ติดเชื้อ THAKSINOPHOBIA ที่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นใน
พยายามที่จะไม่ให้ผู้คนชั้นล่างที่ติดเชื้อ Thaksinosophia เข้ามาปะปนกับตน 
โดยทำแนวกั้นเชื้อ(big bag )ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เชื้อแผ่ขยายเข้ามายังเมืองชั้นใน

โดยในยุทธการต่อต้านเชื้อในครั้งนี้ มีผู้นำฝ่ายชนชั้นในที่ชื่อว่า 
ไอ้เอ๋อ ผู้เปล่งประกาศวาจาสัตย์ดั่งคำสาบานต่อชนชั้นสูงไว้ว่า 
ทั้งชีวิตเราดูแล และไม่ต้องไปฟังใคร ให้ฟังผมคนเดียว

ส่วนผู้นำของอีกฝ่ายนั้น ได้บังเกิดมีผู้นำหญิงอุบัติขึ้น 
เป็นผู้ที่ คนที่เคยฉ้อโกงประชาชนได้ปรามาสว่า ไม่น่าจะทำอะไรได้
นอกจากไปเป็นกะหรี่ เธอน่าจะพาเชื้อ Thaksinosophia 
เข้ามาบุกมายังเมืองชั้นในได้ แต่ทว่าเธอกลับทำในทางตรงกันข้าม 
เพราะว่าเธอได้ทำการช่วยเหลือผู้คนชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นใน
เพื่อไม่ให้ติดเชื้อ Thaksinosophia โดยหวังว่าคุณความดีและ
ความเสียสละทุ่มเทแรงกายของเธออย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก 
จะทำให้เชื้อ THAKSINOPHOBIA ของชนชั้นใน 
กลายพันธุ์กลายเป็นเชื้อในสายพันธุ์ Thaksinosophia ไปเอง

นี่เธอไม่รู้หรือว่าผู้ที่ติดเชื้อ THAKSINOPHOBIA นั้นมันจะไม่สามารถ
กลายพันธุ์มาเป็นสายพันธุ์ Thaksinosophia ได้ แต่มันกลับจะกลายพันธุ์
ไปเป็นเชื้ออีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีอาการรุนแรงกว่า อันเป็นเชื้อในสายพันธุ์
ที่มีชื่อว่า SLIM tomania อันเป็นเชื้อแฝงที่ฝังลึกเข้าไปในสมอง 
และยากแก่การเยียวยายิ่งนัก

แต่ทว่าเหล่าผู้คนชั้นในที่ติดเชื้อ THAKSINOPHOBIA กลับไม่เห็นคุณค่า
ของตัวเธอเลย และพร้อมเสมอทุกเวลาที่จะกัดกินทำลายเธอให้สิ้นซาก
สลายไปได้ทุกเวลา

โอ้อนิจจา ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทปลาวาฬกระป๋องได้แอบฝังเชื้อ 
THAKSINOPHOBIA ไว้ในตัวเธอ หลังจากที่ได้เรียกตัวเธอให้ไปเข้าเฝ้าฯ
เรียบร้อยแล้วหรือนี



แล้วเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร ผู้คนทั้งหลายจะสามารถกลับม
อยู่ร่วมกันได้หรือไม่ 
หรือว่าจะต้องคอยพังคันกั้นน้ำกันอยู่ร่ำไปไม่รู้จักจบจักสิ้น 

โปรดติดตามใน Resident Evil : Afterlife 3D
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=150763415025621&set=a.106232429478720.6883.100002758910020&type=3&theater