Freigegeben Surachai sofort und ohne Bedingungen.

The law is silent @ the time of war.Liberate Thailand to Frees.‎Our real enemy is monarchy system.

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สังคมนานาชาติ สงสัยกรมชลประทาน ทำไมไม่ปล่อยน้ำที่ล้นตั้งแต่แรก รอจนกระทั่งเจอพายุฝนที่ผิดปกติในปีนี้ ต้องมีใครอยู่เบื้องหลัง


Wall Street Journal: ผู้นำใหม่ของไทยสะดุดน้ำท่วม
ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัล ชี้สถานการณ์น้ำท่วมในไทยส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้จะมีความพยายามสกัดน้ำท่วมจาก 'วอร์รูม' ที่ประสานกันจากรัฐบาลประชานิยม-กลุ่มอนุรักษ์นิยม-ผู้นำเหล่าทัพก็ตาม ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามถึง จนท.กรมชลประทานที่ไม่ยอมปล่อยน้ำที่ล้นเกินตั้งแต่แรก กระทั่งมีพายุฝนกระหน่ำ ขณะที่ในปีก่อนเจ้าหน้าที่กลับได้ปล่อยน้ำจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค.
19 ต.ค. 2554 เจมส์ ฮุกเวย์ ผู้สื่อข่าววอลล์สตรีทเจอนัลรายงานเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยรายงานข่าวระบุว่า การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการรับมือกับปัญหาน้ำท่วมครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ทำให้ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรเสื่อมลง จากการที่มูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมมากขึ้นเรื่อยๆ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยืนยันแผนการอัดฉีดเงินกว่าพันล้านเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา
นักวิเคราะห์กล่าวว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของนางยิ่งลักษณ์คือการปล่อยข้อมูลเรื่องน้ำท่วมอย่างส่งเดช จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ต้องออกประกาศด่วนในสัปดาห์ก่อนให้มีการอพยพบางส่วนในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ
การไหลบ่าของข้อมูลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยที่ตื่นตระหนกและบริษัทต่างชาติที่หวาดกลัวต่างพากันปิดโรงงานทั่วประเทศไทยเพื่อยื้อเวลาการแก้ไขวิกฤติในครั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 315 รายและทำให้สูญเสียงานไปกว่าหลายแสน จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงร้อยละ 1.7 เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักไปทั่วเอเชียและที่อื่นๆ
เมื่อวันอังคาร (18 ต.ค.) ที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็อนุมัติแผนทุ่มงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 4 แสนล้าน บาทในปีงบประมาณใหม่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้ เทียบกับเงินเป้าหมายตั้งต้น 3 แสน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซาของไทนและเพื่อช่วยเหลือประชาชนกว่าแสนคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม
ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้เคยบอกว่ากรุงเทพฯ ได้ผ่านวิกฤติน้ำท่วมครั้งที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว ก็ออกมาแถลงข่าวในภาวะเร่งด่วนเมื่อคืนวันจันทร์ (17 ต.ค.) บอกว่ากรุงเทพจะประสบกับน้ำท่วมภายในอีก 2 วันถัดไป โดยบอกให้ประชาชนคอยระวังตัวและอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะขอความช่วยเหลือด้านกระสอบทราย ในวันอังคารมีทหารและอาสาสมัครพลเรือนรุดไปช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำโดยใช้กระสอบทรายกั้นช่วงตอนเหนือกรุงเทพฯ เป็นความพยายามสุดท้ายในการสกัดกั้นน้ำ
ตามทฤษฎีแล้ว ความพยายามสกัดกั้นน้ำท่วมในไทยจะมาจากการ 'วอร์รูม' กันในเขตสนามบินเก่าของกรุงเทพ ที่ซึ่งกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งทางการเมืองมานั่งร่วมโต๊ะหารือกันอย่างรอบคอบไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชานิยมกับอำมาตย์อนุรักษ์นิยมและผู้นำเหล่าทัพซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน รวมถึงสังหารประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงทางการเมืองกว่า 90 ราย
ในความเป็นจริงแล้ว นักวิเคราะห์บอกว่า ยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญหน้าและจัดการกับสถานการณ์
ที่เปรียบเสมือนบททดสอบครั้งใหญ่ในการทำงานเป็นรัฐบาลซึ่งเพิ่งมีอายุ 2 เดือน เนื่องจากรัฐบาลนี้ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าถูกควบคุมโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของเธอซึ่งอยู่ที่ดูไบหลังจากถูกทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน
"คุณยิ่งลักษณ์หน้าที่ของเธอได้ดีสมกับความน่าเชื่อถือเราเห็นเธอไปทุกที่" ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสิงคโปร์กล่าว "แต่รัฐบาลเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดน้ำท่วมจากเมื่อสองเดือนก่อน แต่ก็ยังคงทำอะไรน้อยมากในการป้องกัน นี่เป็นภาวะวิกฤติผู้นำ"
นับตั้งแต่ปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ ทำตัวแตกแถวในวันพฤหัสฯ (13 ต.ค.) โดยรุดออกจากห้องประชุมเกี่ยวกับวิกฤติการณ์เพื่อบอกกับชาวกรุงเทพฯ ตอนเหนือว่าให้ออกจากบ้านทันทีเพื่อหนีน้ำท่วม เรื่องนี้ทำให้ชาวไทยหลายคนแปลกใจจากการที่คุณปลอดประสพเคยเป็นผู้บริหารที่ทำกิจการอันน่าตื่นเต้นอย่างที่รู้จักกันดีคือการนำเมนูเนื้อสัตว์แปลกๆ อย่างม้าลายและจระเข้ลงในเมนูของไนท์ ซาฟารี ในจังหวัดเชียงใหม่
การป้องกันน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ยังคงดีอยู่ ซึ่งต่อมาคุณปลอดประสพได้ขอโทษเรื่องที่เขาสับสน แต่ก็ทำให้มีประชาชนจำนวนมากหนีออกจากบ้านในตอนกลางคืนและเกิดความแตกตื่นไปทั่วเมือง และหลังจากนั้น ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ ก็บอกให้ชาวกทม. ฟังเขาและเชื่อเชาคนเดียว
หลังจากนั้นมาการโต้เถียงกันเรื่องวิกฤติน้ำท่วมในประเทศไทยก็เริ่มเผ็ดร้อนมากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยเจอกับปัญหาน้ำท่วมในสเกลที่เล็กกว่าเมื่อปีที่แล้วก็แนะนำให้ยิ่งลักษณ์ประกาศภาวะฉุกเฉินและเลื่อนการออกงบประมาณสำหรับโครงการประชานิยมซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการณรงค์หาเสียงจนชนะการเลือกตั้งก่อนหน้านี้ การประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับทหารไทยในการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยให้สามารถเป็นมือที่สามเวลามีความขัดแย้งชองชาวบ้านเวลาที่ออกตามหาของหายหลังน้ำท่วม
จนบัดนี้ยิ่งลักษณ์ยังคงปฏิเสธการประกาศภาวะฉุกเฉิน โดยบอกว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหวาดกลัวเนื่องจากประเทศไทยกำลังเตรียมการเข้าสู่ช่วงฤดูท่องเที่ยว
นักสังเกตการณ์รายอื่นๆ ตั้งคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ชลประทานถึงไม่ทำการปล่อยน้ำที่ล้นเกินจากแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่แรก จนกระทั่งเกิดผลกระทบจากพายุฝนที่โหดกระหน่ำผิดปกติในปีนี้แล้ว ซึ่งในปีก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชลประทานได้ปล่อยน้ำออกจากเขื่อนและแหล่งเก็บน้ำตั้งแต่เดือน ก.ค.
ในระหว่างนั้นรัฐบาลก็ส่งสัญญาณออกมาหลายอย่าง ขณะที่น้ำท่วมเขตโรงงานเพิ่มมากขึ้น มีโรงงานแหล่งที่ 6 ต้องปิดไปเมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจก็เริ่มสงสัยว่าวิกฤติในครั้งนี้จะเกิดอีกนานแค่ไหน
หนึ่งในนั้นคือโรงงานบริษัทฮอนด้ามอเตอร์ของไทย ซึ่งถูกน้ำท่วม และโตโยต้ามอเตอร์ก้บอกว่าจะปิดโรงงานในไทยเพิ่มเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงช่วงปลายสัปดาห์เป็นอย่างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญยังคงประสบกับภาวะน้ำท่วม กลุ่มผู้ผลิต อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductors) และฮาร์ดไดรฟ์ (hard drives) ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยกลุ่มธุรกิจกล่าวตำหนิว่ารัฐบาลไทยไม่ออกวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวให้กับปัญหาน้ำท่วมไทย
กลุ่มธุรกิจของญี่ปุ่นเคยกล่าวไว้แล้วว่าบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากรวมถึงผู้ลงทุนรายใหญ่ในไทยจำนวนมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและข้อมูลใดที่แม่นยำ
"พวกเขาได้รับคำเตือนแต่ก็มีข้อมูลไม่มากพอและมีเวลาไม่มากพอจะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร" เซยะ ซุเกะกาว่า นักเศรษฐศาสตร์ประจำองค์กรส่งเสริมการค้าธุรกิจระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization-JETRO) ประจำประเทศไทยกล่าว

ที่มา: Floods Set Back New Thai Leader, The Wall Street Journal, 19-10-2011

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........


ขุนเขาบอก :

กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........

ให้แสนสับสน จนเหงื่อไหลย้อย
หรือตัวข้าน้อย ด้อยการศึกษา
ตั้งแต่เติบใหญ่ เป็นไทยเรื่อยมา
พึ่งเห็นขี้ข้า ออกหน้าสั่งงาน

ใส่สูทสั่งการ ทหารตำรวจ
เหมือนเล่นจำอวด ประกวดประสาน
เฮ้ย ประเทศนี้ มันมีรัฐบาล
ขี้ข้าเผด็จการ สั่งงานได้เยี่ยงไร

ยิ่งยุ่งยิ่งหยอย เหมือนฝอยขัดหม้อ
นายกกำมะลอ มาขอแก้ไข
เรื่องน้ำเรื่องท่า ข้าไม่เป็นรองใคร
พ่อกูยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ได้รางวัล

น้ำหลากมากมาย วอดวายหลายเมือง
ร้อนรุ่มสุ่มเสี่ยง ถึงเมืองสวรรค์
แดนศิวิไล คงอยู่ได้ไม่กี่วัน
กระสอบที่กั้น น้ำดันทลาย

เทวาเทวี กลัวไม่มีที่อยู่
ขี้ทาสขี้ทู่ กลัวที่อยู่เสียหาย
เร่งกู้พระนคร ก่อนที่นอนจะวอดวาย
ปิดเขื่อนกั้นทราย คนรอบกาย “ตายช่างมัน”

เรื่องราวที่เห็น เป็นเยี่ยงนี้ แลพี่น้อง
ขี้ข้าจึงต้อง มาเรียกร้อง กะทันหัน
กลัวน้ำล้นท่อ ท่วมถึงคอ พ่อของมัน
แต่ยิ่งดึงน้ำยิ่งดัน ไม่กี่วันจมบาดาล...........
กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขอไทยเสรี ไม่มีไห้เอ็ง ขอประชาธิปไตยเต็มเต็ม ต้องข้ามศพกู

ผู้ชายสูงวัย มิได้ใจร้าย
แต(แสร้ง)ไม่สบาย จิตใจบ่ดี
เฝ้าจ้องมองดู เจ้าพระยาล่มนอง
จิตใจหม่นหมอง เฝ้ามองทุกข์ตรม

คงคิดไปว่า จะแกล้งรากหญ้า
ให้ได้ทุกข์ตรม ทับถมทวี
จะได้ไม่มี ใครมารบกวน
มาป่วนตัวเอง เรื่องความชอบธรรม

ขอความชอบธรรม จะได้ลูกปืน

ขอความเท่าเทียม จะได้ลูกกรง
ขอไทยเสรี ไม่มีไห้เอ็ง
ขอประชาธิปไตยเต็มเต็ม ต้องข้ามศพกู

เสียงสุดท้าย >>>> อ.ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส 1/3

ครูครอง จันดาวงษ์

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การเมืองไทย 2501-2516 ชำแหละอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนต้องฟังต้องรู้

โดย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน สหรัฐอเมริกา



เครดิตม้าเร็ว >> http://speedhorse.blogsite.org/read.php?tid=419

มุมมองที่คมกริบของ

พนัส ทัศนียานนท์ Voice TV

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ล้างบัดสี กาลีร่าน เผาผลาญเมือง............

ขุนเขาบอก :

ล้างบัดสี กาลีร่าน เผาผลาญเมือง............

สายน้ำไหล เชี่ยวกราด หวาดเสียวใจ
ทุกขภัย ไหลตามน้ำ สยามล่ม
พี่น้องไทย ใจสะท้าน บ้านเมืองจม
ฝนถล่ม พรมผืนนา ภักษาวาย

คำร่ำลือ หนังสือเขียน เหมือนตาเห็น
ความฉ่ำเย็น แห่งสายน้ำ ความฉิบหาย
แผ่นดินล่ม จมทั้งเมือง เสี่ยงความตาย
ลูกเมียหาย ตายายพราก จากเรือนนอน

โอ้สยาม ยามนี้ มีแต่น้ำ
ทั่วเขตคาม น้ำทลาย ปลายสิงขร
ผืนแผ่นน้ำ ลามไศล ไร้สันดอน
พระนคร นอนหลับใหล ใต้วารี

ฤาถึงกาล ผ่านสมัย ผองไทยหนอ
ล้างสอพลอ ล้างฉ้อฉล คนใจผี
ล้างอิทธิพล คนชั่วช้า กาลกิณี
ล้างบัดสี กาลีร่าน เผาผลาญเมือง

ผู้ปกครอง คะนองฤทธิ์ ผิดลูกผัว
คะนองตัว คะนองตน จนซีดเหลือง
คะนองจิต ผิดเรื่องเพศ ทุเรศเมือง
เทพขุ่นเคือง จึงเปลื้องน้ำ ให้ลามลน

ภาพที่สร้าง คงพรางหาย กับสายน้ำ
หลังฝนคร้าม น้ำเลือนหาย สู่ปลายฝน
ความวิไล ไสวฟ้า นำพาชน
รวยหรือจน คนหรือเจ้า เท่าเทียมกัน...........

หลังสายน้ำเชี่ยวกราดหวาดเสียวใจ 
ความวิไลบังเกิดได้ในปฐพี...

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"วาทกรรม" นี้ มัน "มั่ว"


ไอเดีย "แดงรักเจ้า" ของคุณขวัญใจ ผิด ตรงไหน?
(อยากให้แกนนำ นปช. ไม่ว่าจะ อ.ธิดา คุณหมอเหวง คุณวรวุฒิ อ่านด้วยจริงๆ)


(ขอสั้นๆนะครับ เพราะ ไม่มีเวลา และปกติผมหลีกเลี่ยงเรื่อง "การเมืองภายใน" ของ นปช. และ เพื่อไทย แต่เห็นขนาด คุณหมอเหวง ยังอุตส่าห์ มาพูดว่า ไอเดียคุณขวัญชัย "เป็นความคิดที่สร้างสรรค์" - หุหุ ผมก็งงว่า "สร้างสรรค์ตรงไหน" (วะ) ครับ

1. โดยการชูประเด็น "แดงรักเจ้า" (และประณามโดยนัย และโดยตรงเรื่อง "แดงล้มเจ้า") คุณขวัญชัย กำลังทำซ้ำ "วาทกรรม" แบบเดียวกับที่พลังแอนตี้ประชาธิปไตยทั้งหลายทำ

นั่นคือ ป้ายสี หรือ เหมารวม ว่า ท่าทีเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นด้วย กับสถาบันฯ ของเสื้อแดงจำนวนมาก (มากกว่าที่คุณขวัญชัย หรือแกนนำ นปช. ทั่วไป จะยอมรับ) นั้น = ต้องการให้เลิกสถาบันกษัตริย์ ("ล้ม") เลย

ผมกลับเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ที่สุด ที่มีท่าทีแบบทีว่า จะ happy มากเลย ถ้าแค่ว่า ประเทศไทย มีสถาบันแบบ อังกฤษ เบลเยี่ยม สวีเดน ฯลฯ

ดังนั้น เรื่อง "รักเจ้า" ที่เป็น "วาทกรรม" ตรงข้ามกับ "ล้มเจ้า" ของคุณขวัญชัย นี่ จึงผิด ตั้งแต่จุดเริ่มต้น เป็นการไปช่วยพลังแอนตี้ประชาธิปไตยทั้งหลาย ป้ายสี เหมารวม พูดง่ายๆคือ "มั่ว" นั่นเอง

2. จริงๆแล้ว ถ้า "รักประชาธิปไตย" จริงๆ หรือต่อสู้เพื่อสิ่งนี้จริงๆ ควรต้องเข้าใจว่า ในประเทศประชาธิปไตย ที่มีกษัตริย์นั้น (เช่นที่ยกมาข้างต้น) เขาอนุญาตให้มีพวก "ล้มเจ้า" หรือพวกที่เสนอให้เป็นสาธารณรัฐ ได้ครับ .. เขาไม่เดือดร้อนเลย ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ เขายังอยากมีกษัตริย์เป็นประมุข เสนอให้เป็นสาธารณะยังไง เขาก็ไม่เอา (ในประเทศที่ผมอยู่ ออสเตรเลีย เขาให้รณรงค์ ลงประชามติ กันเลย เป็นต้น) ไม่เห็นจะเป็นไร

ดังนั้น ต่อให้คุณขวัญชัย (หรือ นปช.) จะ "รักเจ้า" แต่ถ้าต้องการประชาธิปไตยอย่างที่อ้างจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนเลย ที่จะมีคนต้องการ "ล้มเจ้า" (จริงๆ ในความหมาย ต้องการสาธารณรัฐ - แต่อย่างทีบอกในข้อ 1 ว่า "วาทกรรม" นี้ มัน "มั่ว")

3. อันนี้ เป็นประเด็นรูปธรรม

คุณขวัญชัย อ้างทักษิณเยอะมาก ถึงขนาด ในการสัมภาษณ์หนึ่ง ยืนยันว่า "เป้าหมาย" ของ นปช. คือ เอาทักษิณกลับบ้าน (เท่านั้น? ไมใช่ ปชต. หรืออะไรที่เป็นนามธรรม)

ผมอยากเรียนเสนอว่า คุณขวัญชัย ลองให้ใครที่อ่านภาษาอังกฤษได้ ช่วยคุณขวัญชัย อ่่านวิกิลีกส์ ช่วงปี 2549 ดูนะครับ (หรือดูบทความของคุณ แอนดรู เมือ่ไม่นานมานี้ ที่ยกตัวอย่างว่า คุณทักษิณ พูดอะไรบ้าง)

ดังนั้น ก่อนที่คุณขวัญชัย จะชูประเด็น "แดงรักเจ้า" ควบคู่ไปกับชูทักษิณ บางทีคุณขวัญชัย ควรอ่านหรือศึกษาทบทวนให้ดีก่อนกระมังว่า คุณทักษิณเองมีท่าทีอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้?


(ส่วนหนึ่ง ที่ผมเขียนเรื่องนี เพราะผมเห็นว่า นี่ไมใช่ปัญหาคุณขวัญชัยเท่านั้น จริงๆ ผมว่า แกนนำ นปช. ก็น่าจะลองเอาไปคิดดู โดยเฉพาะในข้อ 1 และ 2 - แต่จริงๆ ข้อ 3 ด้วย ผมยกตัวอย่างคุณหมอเหวงข้างบน แต่จริงๆ อ.ธิดา เวลาพูดเรื่องนี้ ก็ไม่ต่างจากคุณขวัญชัยนักหรอก ในแง่การ "ผลิตซ้ำ" "วาทกรรม" ของพวกแอนตี้ประชาธิปไตย ในแง่ที่ ถ้าพูดเรื่องเจ้าในทางวิจารณ์ = ล้มเจ้า ... ดูข้อ 1 โดยเฉพาะ, แต่ข้อ 2 ก็สำคัญ ไม่ต้องพูดถึงข้อ 3)

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ป้อ เรียกสางเขียวลุกรักของป้อ ทำกบฏอีกซิฮะ



ป้อฮะ ป๋มเห็นสถิติ รัฐประหาร (กบฏ) ของไทย
เห็นแล้ว ป๋ม โมโห ควันออกหูเรยฮะ
ประเทศไทยของ ป้อ ได้แค่ที่ 4 ร่วม กับซีเรีย โตโก กีนี

ป้อ เรียกสางเขียวลุกรักของป้อ ทำกบฏอีกซิฮะ
อีกแค่ 2 ครั้งเอง ก่องที่ป้อจะลาโลกเส็งเคร็งใบนี้ไปเสีย
เราจะได้เลื่อนเป็นอันดับ 3 ร่วม กับ โบลิเวีย
ดูสภาพทุกวันนี้ เราก็ไม่ได้ต่างจากโบลิเวียมากเท่าไหร่
ป้อ เอาเรยฮะ ป๋ม เชียร์ แล้ว ชื่อป้อ จะได้ติดกินเนสส์บุ๊คฮะ

ไทยแชมป์อันดับที่ 4 ของโลก
ประเทศที่มีการรัฐประหารบ่อยที่สุดในโลก

คนไทยส่วนใหญ่รู้ดีว่าประเทศไทยมีรัฐประหารบ่อย
แต่จริงๆแล้วเรามีบ่อยแค่ไหน และมีใครอื่นอีกไหม

ที่รัฐประหารบ่อย พอๆกับเรา

องค์กร The Center for Systemic Peace (CSP)
ได้รวบรวมข้อมูลรัฐประหารของประเทศต่างๆทั่วโลกตั้งแต่
ปี 1946 ถึง 2010 โดยกำหนดให้นิยามของการทำรัฐประหารหมายถึง
การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจบริหารสูงสุดโดยกลุ่มการเมือง
ภายในประเทศนั้นๆแล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ

ข้อมูลจะถูกนับรวมทั้ง
(1) รัฐประหารที่ทำสำเร็จ
(2) ที่ไม่สำเร็จ
(3) ที่่เป็นเพียงแผนการยังไม่ได้ลงมือ
และ (4) ที่ถูกกล่าวหาว่ากำลังวางแผ

แต่ไม่นับรวมการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การลุกฮือของประชาชน สงครามกลางเมือง การลงจากอำนาจ
โดยสมัครใจ การส่งต่ออำนาจให้ทายาททางการเมือง
การเสียชีวิตของผู้นำ การลอบสังหารผู้นำ และการถูกรุกราน
จากกองกำลังต่างชาติ

ด้วยนิยามข้างต้น ปรากฏจำนวนดังนี้

31 ครั้ง – ซูดาน
24 ครั้ง – อิรัก
19 ครั้ง – โบลิเวีย
17 ครั้ง – กีนี-บิสเซา (Guinea-Bissau), ซีเรีย, โตโก, ไทย
16 ครั้ง – บูรุนดี (Burundi), ชาด (Chad)
15 ครั้ง – อาร์เจนตินา, กาน่า, กีนี (Guinea)

โดยในกลุ่มประเทศหัวตารางที่ยกมา มี 8 ประเทศ
(กาน่า, ไทย, ชาด, กีนี-บิสเซา, ซูดาน, โตโก, กีนี, บูรุนดี)
ที่ยังมีรัฐประหารเกิดขึ้นตั้งแต่หลังปี 2000 เป็นต้นมา

สรุปว่าประเทศไทยมีรัฐประหารบ่อยครั้งเป็นอันดับ 4 ของโลก

ตัวอย่างประเทศอื่นๆ : เซียร่า-ลีโอน (14) ปานามา (13)
กัมพูชา (12) ฟิลิปปินส์ (11) บังกลาเทศ (8) พม่า (6) ลาว (6)
อินโดนิเซีย (5) ปากีสถาน (5) เนปาล (5) แคเมอรูน (4)
เกาหลีใต้ (3) เกาหลีเหนือ (2) อินเดีย (1) ซาอุฯ (1) ศรีลังกา (1)


เรื่องดังกล่าวอาจทำให้เราต้องเริ่มตั้งคำถามว่าเกิดอะไรกับการ
พัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยที่กำลังจะมีอายุครบ 80 ปี
ในปี 2555

อ้างอิง:
1. ตารางข้อมูลดิบ

 http://www.systemicpeace.org/inscr/CSPCoupsList2010.xls
2. สำหรับผู้ที่สนใจว่า CSP เก็บข้อมูลจากไหน อ้างอิงจากแหล่งไหน
และนิยามว่าเหตุการณ์ใดเป็นหรือไม่เป็นรัฐประหารบ้าง
สามารถอ่านรายงานได้ที่

http://www.systemicpeace.org/inscr/CSPCoupsCodebook2010.pdf

 

อยู่นาน ๆ หน่อย เด๋วได้เป็นอาจานหย่าย โดยอัตโนมัติ

โลงบานมันมีอะไรดี ? อยู่ไม่ยอมออกกลับบ้าน 
ปรกติแล้ว เอาไว้สำหรับรักษาผู้เจ็บป่วยเป็นไข้ไม่สบาย
หรือ นอนพักฟื้น รักษาตัว

แต่สงสัยว่า อีลุงบ้า คนหนึ่ง ทำไมแกไม่ยอมออกจาก รพ.ซะที....
มันน่าอยู่ตรงไหน ?
หรือป่วยเรื้อรังไม่หายซะที
หรือไม่อยากกลับบ้านแล้ว
หรือหนีอะไรอยู่ ?
เด๋ว ๆ ก็มีคนมาอวยให้ว่า ทำงานตลอด ทำงานหนัก
คนบ้าที่ไหนวะ ไม่ทำงานที่บ้าน หรือที่ทำงาน ดันไปทำในโลงบาน
ใครรู้เหตุผลบอกหน่อยเถอะ....
คนปรกติใครเขาจะอยู่ รพ.เป็นปีๆ แบบนี้....

เคยได้ยินคนชอบพูดว่า ...
หมอชอบเลี้ยงไข้ เลยให้อยู่ รพ.นาน ไม่รู้จริงเปล่า
แต่งานนี้ดูๆแล้วแกคงกลัวตายอ่ะ เลยขอยึดโลงบาลไว้เป็นที่เพิ่ง

หรือแกกะว่า อยู่นาน ๆ หน่อย เด๋วได้เป็นอาจานหย่าย โดยอัตโนมัติ

khun Achilles Phoenix gescgrieben
***************************
เถร ขวาด นักเลงไป 3 โลง
--------------------------------------------
1.โลงพัก ตอนยิงหัวกระบาลพี่
2.โลงบาน ตอนเริ่มเสื่อม
3.โลงผี coming soon

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คลิป หลักฐานฝรั่งยัน ยิงเสธแดงจากเลอ กอร์ดอน ดุสิต?

"พอเปิดไฟสัมภาษณ์ ช่วงนั้นแหละครับ"

เสธแดงโดนยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูงจากตึกสูงรอบๆสวนลุมพินี

เมื่อวันที่ 13 พค 2553 เวลาประมาณ 19.21 น. 
ขณะให้สัมภาษณ์นักข่าวบริเวณลิฟท์ รฟม.สีลม 
ข้างอนุสาวรีย์ ร.6

เมื่อประสบความสำเร็จครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ใช้จุดเดิม

วางแท่นปืน ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษช่วยเล็ง
ส่องเป้าเวลากลางคืน ยิงสังหารอีกหลายครั้ง 
โดยเริ่มต้นค่ำวันที่ 14 พค.53 ล้อมกรอบการ์ดนปช.
จนถึงวันที่ 19 พค 53 ตลุยฆ่าด้วยรถหุ้มเกราะพร้อม 
พล.ม2 รอ.โดยมือสไนเปอร์
ลงมาคุ้มกันบนสะพานพระราม4

นายkenneth todd ช่างภาพฝรั่ง

ถ่ายรอยกระสุนที่ลิฟท์รฟม.สถานที่เสธแดงโดนยิง
 แต่คนละช่วงเวลา แต่เป้าหมายคือการ์ดนปช 
ทำให้สาวไปถึงตึกวางแท่นปืน งานนี้ตึก 
รร.สอนประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอน ดุสิต 
อยู่ในทำเลดีที่สุด รองลงมา
ตัวตึกโรงแรมดุสิตธานี 
และตึกอื่นๆ

รอยจารึก ลงวันที่ 16 พค 53 เวลา 22.30 น.
รอยกระสุน 3 รู บนลิฟท์ข้างซ้ายถ้ายืนหันหน้าไปทาง ถ.พระราม4 
ยิงได้ถนัดจากตึกเลอ กอร์ดอน ดุสิต หรือจากสวนลุม
รอยกระสุนทางเดินลงลิฟท์ ยิงได้ถนัดจากตึกเลอ กอร์ดอน ดุสิต หรือจากสวนลุม
ตึกซ้ายคือ รร.สอนประกอบอาหารเลอ กอร์ดอน ดุสิต
 คู่กับโรงแรมดุสิตธานีขวา
 เหมาะที่จะวางแท่นปืนยิง>เสธแดงและ>นปช.
รร.ดุสิตธานี รอยฝากรักด้วยตะไลเพลิง
 เป็นจุดต้องสงสัยมือสไนเปอร์อยู่?
เหตุเกิดวันที่ 17 พค 53 หลังจากคืนที่ 16 
ยิงลงไปที่ลิฟท์ รฟม.จนพรุน?
หรือใครสร้างสถานการณ์?
ภาพนปช. ตาย วันที่ 14 พค 53 ทิศทางยิง
น่าจะมาจากตึกคู่แฝดดุสิตธานี
เพราะยิงตรงลงมาไม่บังเต้นท์
ภาพตึกคู่แฝดดุสิตธานีโดยเฉพาะตึก เลอ กอร์ดอน ดุสิต
อยู่ตรงเซ็นเตอร์ แสดงถึงสามารถคุม
ทิศทางการยิงได้กว้าง ไม่บังเต้นท์
รอยเลือดเสธแดง ที่เกิดเหตุ
เพราะเดินตรวจแนวป้องกันทุกวัน จึงโดนล้อคเป้า 
มือปืนล้อคสถานที่และเวลาได้ เพราะเสธแดง
ต้องตรวจแนวป้องกันมาถึงจุดนี้ทุกวัน


"คือ ครั้งแรก เดินตรวจตามแนวไล่มาเรื่อย

 พอไล่แล้วมาขึ้นตรงนี้ ทีนี้พอขึ้นมาอยู่ตรงนี้ 
พวกนักข่าวก็ตามขึ้นมาเยอะเลย แล้วเขามาสัมภาษณ์

ช่วงที่สัมภาษณ์คือยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย

 แต่พอข้ามมาเดินลงไปข้างล่าง 
ตรวจแนวอื่นแล้วไปทานข้าว เมื่อเดินลงมา
มีนักข่าวตามมาสัมภาษณ์อีก" 

ทีนี้พอเปิดไฟ กล้อง ช่วงนั้นแหละครับ 

วงที่เปิดไฟเป็นการสัมภาษณ์รอบที่สอง 

เสธแดงหันหน้าไปทางถ.พระราม4 ขณะให้สัมภาษณ์

"มีส่วนหนึ่งหันหน้าไปทางนี้กับทางนี้ สองอย่าง

 เพราะนักข่าวยืนอยู่ฝั่งโน้น 
ที่สัมภาษณ์อยู่ ผู้หญิง" การ์ด นปช.กล่าว

"เสธแดงออกมายืนที่ถนน ผมหันหน้าไปหาเขา 

เขากำลังตอบคำถามผม มองมายังผม ลูกปืนก็ยิง
เข้าหน้าผากเขา ลูกปืนถูกยิงข้ามหัวผมมาแล้วปะทะศีรษะเขา"
 นายโทมัส ฟุลเล่อร์ ผู้สื่อข่าวนิวยอร์คไทม์ 


เผยกระสุนไรเฟิล "ลาปัว.308"
เจาะกะโหลก"เสธ.แดง" อีกนัดติดอยู่ที่เสื้อเกราะ


วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เวลา 08:30:22 น. มติชนออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่มีการลอบยิงพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล 

หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
 เมื่อค่ำวันที่ 13พฤษภาคม2553 ที่ศรีษะ
 ซึ่งในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นปืนไรเฟิลความเร็วสูงว่า 

เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ ลูกกระสุน 2 นัด

ฝังอยู่ในหัวและอยู่ในเสื้อเกราะ
 พล.ต.ขัตติยะ ทราบว่าเป็น

กระสุนยี่ห้อ ลา ปัว ".308 วินเชสเตอร์ ลาปัว ไรเฟิล"

 ซึ่งใช้สำหรับซุ่มยิงโดยเฉพาะ โดยกระสุนเข้าศีรษะ 1 นัด
 อีก 1 นัด ถูกหน้าอก แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวมเสื้อเกราะ
กระสุนจึงไม่ทะลุเข้าไปในตัว แต่หัวกระสุน
มาจากที่ติดอยู่บนเสื้อเกราะ
บริเวณหน้าอกของเสธ.แดง 

ผู้สื่อข่าวทีเอ็นเอ็นรายงานเวลาประมาณ 20.30 น. 

วันที่ 13 พฤษภาคมว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง
 ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โดยยิง
ขณะให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างชาติล้มลงทันที
 โดยโดนยิง 2 นัดกระสุนเข้าที่ขมับขวาและหลัง 
แพทย์กล่าวว่าเสธ.แดงยังไม่เสียชีวิต
 กำลังเร่งช่วยเหลือและผ่าตัดกระสุนออก

Thank you> Mr. Kenneth todd >>reporterinexile

Thank you> Mr. Roger arnold >>Thailand Lumpinipark May 14 2010

Tawan 472

ฺัBy KHun 
ขอบคุณ สำหรับข้อมูล ขออนุญาติแชร์ข้อมูล
http://www.internetfreedom.us/forum/viewtopic.php?f=2&t=10563