-เจ้าฟ้าประชาธิปกได้ทรงบันทึกถึงสถานการณ์
ช่วงสุดท้ายของรัชกาลที่ 6 ไว้เมื่อปี 1926-2469 ว่า.
ช่วงสุดท้ายของรัชกาลที่ 6 ไว้เมื่อปี 1926-2469 ว่า.
" เมื่อใกล้ๆสิ้นรัชกาล ประชาชนเริ่มหมดความเชื่อถือกษัตริย์พระองค์ก่อน(รัชกาลที่6)
และปัญหาการสืบราชบัลลังก์เป็นเรื่องที่หลายคนวิตกกันอย่างมาก
เจ้านายชั้นสูงพระองค์เดียวที่ทรงมีพระกียรติยศอยู่บ้าง
ก็คือเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ หลายๆคนอยากเห็นราชบัลลังก์ตกแก่พระองค์
และปัญหาการสืบราชบัลลังก์เป็นเ
เจ้านายชั้นสูงพระองค์เดียวที่ท
ก็คือเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ หลายๆคนอยากเห็นราชบัลลังก์ตกแก
แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงรอคอยพระประสูติกาล ของพระอัครชายา
และถ้าทารกพระองค์นั้นไม่ใช่พระโอรส ราชบัลลังก์ก็จะตกแก่พระอนุชาของพระองค์
ซึ่งข้าพเจ้าเสียใจจะบอกว่า คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดถึง
เพราะข้าพเจ้า เองนั้นเหมือนม้าดำ ไม่มีประสบการณ์ด้านบริหารประเทศ "
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระบิดาเมื่อ พ.ศ 2453
ทรงใช้จ่ายรายได้ของรัฐที่ทรงได้รับมรดกมาอย่างเต็มที่
ทรงปันอย่างน้อยร้อยละ10 ของงบประมาณรัฐบาล
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของพระราชวงศ์ อีกร้อยละ20 ทรงใช้จ่ายด้านการทหาร
ทรงปันอย่างน้อยร้อยละ10 ของงบประมาณรัฐบาล
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของพระราชวง
พ.ศ 2454 โปรดเกล้า..ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเเษกเป็นครั้งที่ 2
และทรงใช้จ่ายเพื่อการนี้เกินงบประมาณถึง 10 เท่า
ทรงใช้จ่ายในพระราชพิธีดังกล่าวคิดเป็นเกือบร้ยละ 8 ของรายได้รัฐ
และทรงใช้จ่ายเพื่อการนี้เกินงบ
ทรงใช้จ่ายในพระราชพิธีดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายของราชวงศ์ส่วนอื่นๆ
ซึ่งรวมอยู่ในรายการเงินกู้ และเงินเบิกล่วงหน้า
เมื่อถึง พ.ศ 2468 แม้กระทั่งเจ้าฟ้าพระองค์อื่นๆ
ทรงกล่าวถึงการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเหล่านั้น
ที่ปรึกษาทางการคลังซึ่งเป็นข้าราชของรัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย
หลังจากวิเคราะห์สภาพการคลังแล้วประกาศว่า
หลังจากวิเคราะห์สภาพการคลังแล้
"ประเทศสยามอยู่ในภาวะล้มละลาย" ???